“ฟรอนเทียร์ อีโคโนมิกส์” บริษัทวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สัญชาติออสเตรเลียเผยบริการทางด้านโทรคมนาคมช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเอเชียโดยรวมเติบโตถึง 75% ด้านเทเลนอร์กรุ๊ปปักธงลงทุนเอเชียต่อเนื่อง ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน มูลค่าเศรษฐกิจไทยที่เกี่ยวเนื่องบริการการสื่อสารเติบโตเกือบ “เท่าตัว” จาก 4 แสนล้านดอลลาร์เป็น 7 แสนล้านดอลลาร์ใน 10 ปี (2548-2558)
นายเจมส์ แอลลัน ผู้อำนวยการบริษัทวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ฟรอนเทียร์อีโคโนมิกส์ กล่าวว่า จากผลการศึกษาเรื่อง “The Mobile Effect: How Connectivity Enables Growth” ซึ่งครอบคลุม 5 ประเทศที่เทเลนอร์กรุ๊ปดำเนินกิจการอยู่ในเอเชีย ได้แก่ บังกลาเทศ ปากีสถาน เมียนมาร์ มาเลเชีย และไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเศรษฐกิจของเอเชียโดยรวม พบว่าบริการด้านโทรคมนาคมถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพทางธุรกิจ สร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนสร้างตลาดใหม่ที่เกิดจากผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจมวลรวมของเอเชียเติบโตถึงปีละ 6-12% สะท้อนถึงผลจากการลงทุนของเทเลนอร์กรุ๊ปในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่า ภาคการเงิน ธุรกิจค้าปลีก การศึกษา สาธารณสุขและการขนส่ง เป็นธุรกิจที่มีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารอย่างเข้มข้นเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการช่วยหนุนให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตกว่าอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม
สำหรับประเทศไทยนั้น ภาคการเงินมีการใช้เทคโนโลยีสื่อสารเป็นพื้นฐานในการให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชำระผ่านช่องทางดิจิทัลหรือ digital payment ที่เติบโตเกือบ “เท่าตัว” จาก 33% ในปี 2557 เป็น 62% ในปี 2560 ขณะที่อัตราการเติบโตของผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลหรือ mobile wallet เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะที่ภาคการเกษตร ก็เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมประสิทธิภาพในการเพาะปลูก เนื่องจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิมไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพทางการเกษตรที่ดี สะท้อนได้จากจีดีพีภาคการเกษตรที่เหลือเพียง 10% จากอดีตที่มีสัดส่วนสูงถึง 32% ซึ่งดีแทค หนึ่งในผู้ให้บริการสื่อสารรายใหญ่ของไทยได้ริเริ่มโครงการ “ดีแทคสมาร์ทฟาร์มเมอร์” เพื่อให้บริการข้อมูลทางการเกษตรแก่เกษตรกร ซึ่งมุ่งหวังในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเกษตรผ่านการบริการทางด้านข้อมูล ซึ่งไม่เพียงส่งผลเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิถีความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยจะดีขึ้นด้วย
การลงทุนเทเลอร์กรุ๊ปในเอเชีย
นายฮากุน บรัวเซ็ท เชิร์ล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานพันธมิตรและสัมพันธ์องค์กร เทเลนอร์กรุ๊ป เอเชีย กล่าวว่า ปัจจุบัน เทเลนอร์กรุ๊ปดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมาแล้วกว่า 20 กว่าปี มีผู้ใช้บริการรวมกันกว่า 166 ล้านคนใน 5 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ปากีสถาน เมียนมาร์ มาเลเชีย และไทย ซึ่งการให้บริการการสื่อสารนั้น จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุมทั่วเอเชีย ซึ่งระหว่างปี 2557 ถึง 2560 เทเลนอร์กรุ๊ปลงทุนในภูมิภาคเอเชียทั้ง 5 ประเทศเป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,200 ล้านดอลลาร์
“เทเลนอร์กรุ๊ป ในฐานะนักลงทุนสำคัญที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของภูมิภาคเอเชีย นอกเหนือจากเงินลงทุน เรายังคงมุ่งมั่นในการเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศที่เทเลนอร์ดำเนินกิจการ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ งานพัฒนาสังคมและการสร้างสรรค์นวัตกรรมของไทย” นายฮากุนกล่าว
แม้กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เทเลนอร์กรุ๊ปได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าต่างๆ มายังภูมิภาคเอเชีย แต่การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่เต็มศักยภาพ ดังนั้น เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มประสิทธิภาพ ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐบาล ภาคธุรกิจและประชาสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัล เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและโลกดิจิทัลในอนาคต
นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า นวัตกรรมและการลงทุนของผู้ให้บริการมือถือได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศไทย ซึ่งดีแทคจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ในสังคมให้เข้าถึงบริการ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเข้ามาของยุค 5G ในอนาคต ที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอนาคตอันใกล้
ตัวเลขสำคัญของเทเลนอร์กรุ๊ปและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมประเทศไทย
- พนักงานหนึ่งคนช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยเป็นจำนวน 245,000 ดอลลาร์ในปี 2559-2560
- 23% ของรายได้นำกลับไปลงทุนระหว่างปี 2558 ถึง 2560
- เทเลนอร์กรุ๊ปอุดหนุนประเทศไทยผ่านมาตรการภาษีในปี 2560 เป็นจำนวนเงิน 285 ล้านดอลลาร์
- อุตสาหกรรมโทรคมนาคมช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐศาสตร์ (EVA) แก่เศรษฐกิจไทยถึง 68%
–
