เจ้าสัวธนินท์ทุ่มเงิน 100 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่เข้าไม่ถึงการซื้อหาหน้ากาก”
นอกจากนี้ CPF บริษัทในเครือของเจ้าสัวซีพี ประกาศพร้อมส่งอาหารให้บุคลากรโรงพยาบาลรัฐและกลุ่มเสี่ยง เพื่อต้านภัย Covid-19 โดยไม่จำกัดจำนวน และระยะเวลาในการสนับสนุน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
.
ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจะแบ่งเป็นในส่วนบุคคลทั่วไปที่ต้องกักบริเวณ 14 วัน แจ้งความประสงค์รับการสนับสนุนอาหารจากซีพีเอฟ ผ่านแอปพลิเคชัน Line: CPFRESHMART โดยบริษัทจะนำรายชื่อที่ลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบกลับไปยังกรมควบคุมโรค
เมื่อผู้ป่วยได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์ “ทีมซีพีเฟรชมาร์ทเดลิเวอรี่” จะนำผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทจัดส่งจากจุดกระจายสินค้าร้านซีพีเฟรชมาร์ทที่มีสาขา 109 จุดทั่วประเทศ (อยู่ใน กทม. 59 สาขา) เพื่อส่งตรงถึงผู้ป่วยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ บริษัทจะมีการนำตู้แช่บรรจุอาหารไปให้บริการในโรงพยาบาล เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ โดยนำร่องไปแล้วที่โรงพยาบาลจุฬา และจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลรามาฯ โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลพระมงกุฎ และโรงพยาบาลอื่นๆ ในลำดับต่อไป
สำหรับอาหารที่ CP จะส่งมอบ มีให้เลือก 3 ชุด 34 รายการ ได้แก่ 1. ชุดอาหารพร้อมรับประทาน ที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟ เพื่อรับประทานได้ทันที 2. ชุดข้าวแกงถุง ที่สามารถแกะถุงรับประทานได้ทันที และ 3. ชุดอาหารสด เนื้อไก่ เนื้อหมู ที่สามารถนำไปปรุงเมนูที่ต้องการรับประทานได้เองตามต้องการ
นอกจากข่าวการทุ่มเงินสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนหน้ากาก และข่าวโครงการส่งอาหารฯ ครั้งนี้ … หากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เชื้อ Covid-19 เริ่มระบาดหนักในเมืองอู่ฮั่นและประเทศจีนเมื่อปลายเดือน ม.ค.
ครั้งนั้น เจ้าสัวธนินท์ก็เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีโลกกลุ่มแรกๆ ที่ประกาศบริจาคเงินและเครื่องอุปโภคบริโภค รวมถึงเครื่องมือแพทย์ และน้ำยาฆ่าเชื้อ รวมมูลค่ากว่า 222 ล้านบาท ไปยังประเทศจีน เพื่อช่วยหยุดยั้งการระบาดของ Covid-19 ในจีน …
ไม่มีใครรู้ว่า วิกฤตไวรัส Covid-19 จะอยู่กับมนุษยชาติ และประเทศไทยไปอีกนานแค่ไหน … ในยามนี้ ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดี หากทุกคนจะลุกขึ้นมาช่วยเหลือกัน เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้โดยสูญเสียน้อยที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีพร้อมทั้ง “กำลัง” และทุน ซึ่งเครือซีพีเป็นหนึ่งในนั้นที่ลุกขึ้นมาแล้ว
ขณะเดียวกัน เราทุกคนก็ต้องช่วยกันดูแลตัวเองและครอบครัวไม่ให้เดินเข้าไปหาความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ส่วนคนที่อยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” ก็ควรต้องดูแลและรับผิดชอบสังคมส่วนรวม เพื่อช่วยกันชะลอไม่ให้ประเทศไทยเข้าสู่ “เฟส 3 (ระบาดภายในประเทศ)” เร็วเกินไป
–
