Creative Technologist รู้จักกับอาชีพคนเบื้องหลัง อีกฟันเฟืองสำคัญที่คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ขาดไม่ได้
บนโลกนี้มีอีกมากมายหลายอาชีพที่เรายังไม่รู้จัก
เช่นเดียวกับอาชีพ Creative Technologist ที่พอพูดถึงการเป็น Creative คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง Creative โฆษณา Creative รายการโทรทัศน์ ซึ่งล้วนแต่เป็น Creative เชิงคอนเทนต์ซะส่วนใหญ่
แต่เมื่อคำว่า Creative นั้นหมายถึง ‘ความคิดสร้างสรรค์’ และในเมื่อความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นเหมือนน้ำที่เอาไปใส่ปรับใช้กับแก้วได้หลากหลายรูปทรง
วันนี้เราเลยจะพาผู้อ่านมารู้จักกับความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในแก้วของ ‘เทคโนโลยี’ กัน
จริงๆ แล้วงานของคนที่เป็น Creative Technologistนั้นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลตัวเรามากสักเท่าไร
เพียงแต่ความตื่นตาตื่นใจเวลาที่เราได้เห็นแสง-สี-เสียงจากชิ้นงาน อาจกลบความสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
พูดไปก็คงจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าให้คลิปด้านล่างนี้อธิบายความเป็น Creative Technologistดีกว่า
โดยผู้ทำให้เกิดแสง-สี-เสียงต่างๆ ในคลิปด้านบนนี้ คือ หมี-ชวนันท์ อินทร์คำน้อย Creative Technologist และ Co-Founder ของ H-Lab สตูดิโอขนาดเล็ก ที่ทำคอนเสิร์ตสเกลใหญ่ระดับ Impact Arena มาแล้วมากมาย
(ด้านบนคือผลงานจาก H-Lab กับกำไลข้อมือไฟฟ้า ที่เอาไว้ให้ผู้เข้าชมคอนเสิร์ต D2B ได้สวมใส่
และทาง H-Lab ก็จะควบคุมกำไลไฟฟ้า จนกลายเป็นบรรยากาศคอนเสิร์ตที่สวยงามอย่างที่เราได้เห็นกันในคลิปด้านบน )
หมีอธิบายว่า Creative Technologistคือคนที่เอาความคิดสร้างสรรค์มาบวกกับเทคโนโลยี
และเมื่อสองสิ่งนี้มาเจอกัน มันก็จะกลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ ที่สร้างประสบการณ์และความรู้สึกร่วมกับผู้คนได้มากขึ้น
ไม่เชื่อก็ลองจินตนาการตัวคุณเอง เวลาเห็นแสง-สี-เสียง ต่างๆ ในคอนเสิร์ตแล้วรู้สึกตื่นเต้นขนาดไหน
(หมี-ชวนันท์ อินทร์คำน้อย)
และแม้งานของ Creative Technologistจะมีหลากหลายรูปแบบ แต่เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพและเข้าใจกันในเวลาที่รวดเร็ว เราจึงขอยกตัวอย่างงานคอนเสิร์ตมาเล่าเป็น Case Study ให้ฟังกัน
โดยหลักๆ แล้วขั้นตอนการทำงานของ Creative Technologist จะเริ่มจากรับแบบและดีไซน์ของลูกค้ามา
ดูว่าลูกค้ามีไอเดียอยากทำให้งานออกมาเป็นแบบไหน และ Creative Technologistก็จะใช้เทคโนโลยีเข้าไปทำให้ไอเดียนั้นกลายเป็นจริง
หมียกตัวอย่างงาน J ADRENALINE 360 CONCERT ของเจ-เจตริน มาเล่าให้ฟังว่า
“สิ่งที่ลูกค้าบรีฟมาคือ มันจะมีวัตถุที่เป็นทรงกลมขนาดใหญ่อยู่กลางเวทีแบบ 360 องศาเหมือนกับชื่อคอนเสิร์ต
และอยากให้มีดวงไฟออกมาจากจุดต่างๆ อยู่รอบๆ ซึ่งไฟแต่ละดวงก็ต้องมีลูกเล่นของมัน สามารถสั่งงานเฉพาะแต่ละดวงได้ หรือยิงแสงออกมาตามจังหวะเพลงได้
พอได้โจทย์มาแบบนี้ สิ่งแรกที่ผมกับทีมทำ ก็คือต้องย่อส่วนวงกลมกลางเวทีนั้นให้เป็นวงกลมขนาดเท่าฝ่ามือก่อน
เป็นการทำโมเดล เพื่อนำมาพล็อตจุดต่อ ว่าไฟดวงนี้จะต้องต่อตรงเข้ากับมอนิเตอร์ตัวนี้ เพื่อให้สามารถควบคุมไฟทุกดวงแบบแยกออกจากกันได้
เมื่อทดลองพล็อตจุดดวงไฟต่างๆ ในโมเดลเสร็จ ก็จะย้ายมาทดลองกับของจริงบนเวที
ซึ่งนอกจากความยากเชิงเทคนิคแล้ว ก็ยังมีความยากในการสื่อสารด้วยเหมือนกัน
เพราะการทำงานใหญ่แบบนี้มันไม่ได้มีแค่ทีมเราทีมเดียว แต่ยังมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกเยอะแยะมากมาย ก็เลยต้องคุย ต้องสื่อสารให้คนอื่นเขาเข้าใจ ว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นแบบไหน”
แม้จะดูเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคเยอะ แต่หมีบอกว่าคนที่จะเป็น Creative Technologistนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเรื่องงานช่างหรือจบวิศวะ-คอมพ์เสมอไป
เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้กันทีหลังได้ หากมีความคิดสร้างสรรค์ และความพยายามที่จะ Adapt ความคิดเหล่านั้นกับเทคโนโลยีให้เกิดความน่าสนใจมากพอ
แม้จะเป็นงานที่ดูซับซ้อน แต่เพราะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ หมีจึงอยู่กับการเป็น Creative Technologistมาได้หลายปี
เพราะนอกจากจะได้สร้างสรรค์งานตามโจทย์ของลูกค้าแล้ว นี่ยังเป็นงานที่ทำให้เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ตามโจทย์ความต้องการของตัวเองด้วยเหมือนกัน
โดยเมื่อมีเวลาว่างเขาจะใช้เวลาขลุกอยู่กับอุปกรณ์ Hardware ต่างๆ เพื่อแกะมัน รื้อมัน แล้วต่อมันให้กลายเป็นสิ่งใหม่
เป็นเหมือนกับเชฟเพียงแต่เปลี่ยนจากวัตถุดิบที่เป็นอาหาร มาเป็นวัตถุดิบที่เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ แทน
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ H-Lab แตกต่างและทำเงินได้ ก็เพราะความรื้อแคะแกะเกาของเรานี่แหละ
มันเลยทำให้เรามีอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีขายในท้องตลาด อยากครีเอตงานอะไร ก็ทำอุปกรณ์ขึ้นมารองรับไอเดียเองได้
และด้วยความซนของเรา ก็เลยทำให้กรอบในการทำงานของเรากว้างขึ้นตามไปด้วยเหมือนกัน
เหมือนเป็น Hacker อุปกรณ์นั่นแหละ
พอซนเยอะก็พังเยอะ ที่สตูดิโอของเราก็เลยมีกล่องล้มเหลววางเอาไว้ นับวันจะเริ่มกองสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผมว่าความล้มเหลวตรงนี้มันเป็นสิ่งที่ดีนะ มันเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจว่าเราเคยทำอะไรพลาดไปแล้วบ้าง เวลาทดลองอะไรใหม่จะได้หลีกเลี่ยงในสิ่งที่เคยทำพลาดไปแล้ว
เพราะต้องยอมรับพลาดแต่ละครั้งเงินทั้งนั้น เวลาสายไฟไหม้ อะไรระเบิด มันเสียของทั้งนั้น
แต่พอมีกล่องนี้มาคอยเตือนใจ ก็ทำให้เราทำพลาดน้อยลง
แล้วก็เหมือนเป็นการตัดช้อยส์ที่ทำให้เราเจอกับสิ่งที่ถูกต้องได้มากขึ้น”
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ