ปรับตัวอย่างไรให้ชนะหลังโควิด-19 นี่คงเป็นคำถามที่แบรนด์และกลุ่มธุรกิจอยากรู้ ในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง
นีลเส็น ประเทศไทย ให้มุมมองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-19 ซึ่งเป็นดาต้าที่สามารถให้แบรนด์และธุรกิจนำไปต่อยอดได้ในหัวข้อ ‘ปรับตัวอย่างไรให้ชนะในโลกหลังโควิด’ อย่างน่าสนใจ
ชินตา ศรีจินตอังกูร กรรมการผู้จัดการนีลเส็น ประเทศไทย เล่าให้ฟังถึงภาพใหญ่ว่าสิ่งที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปในยุคที่มีความไม่แน่นอนสูง หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ อัตราการว่างงาน ที่ในปีนี้มีคนไทยเสี่ยงต่อการตกงานอยู่ราว 8.4 ล้านคน
และตลาดแรงงานเด็กจบใหม่อีก 5 แสนคน สิ่งนี้ส่งผลต่อสภาพคล่อง และเป็นข้อกังวลในการจับจ่ายใช้สอยหลักของคนไทย
เพราะฉะนั้นปัจจุบันผู้บริโภคในไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. Constrained Consumer คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นตกงาน ถูกลดเงินเดือน กลุ่มนี้มีมากถึง 58% ของผู้บริโภคในไทย
คนกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในด้านการจับจ่าย เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อจากร้านประจำถึง 81% อย่างเห็นได้ชัด โดยมาจากสาเหตุในเรื่องงาน รายได้ และการรวมทั้งเปลี่ยนถิ่นที่อยู่อาศัย กลับภูมิลำเนา
สะท้อนจากข้อมูลของนีลเส็นที่พบว่าในช่วงโควิด-19 ช่องทางการขายสินค้าที่เติบโตดีอย่างน่าสนใจคือกลุ่มร้านปลีกกึ่งขายส่ง และช่องทางออนไลน์
รวมทั้งความถี่ในการบริโภคลดลง แต่ในการซื้อแต่ละครั้งมูลค่ามากขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังโควิด-19 คือ ผู้บริโภคมองในระยะสั้น จับจ่ายใช้สอยแค่เพียงพอในแต่ละวัน และจะซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น ผิดกับช่วงก่อนโควิด-19 ที่ผู้บริโภคมักจะซื้อเยอะ ๆ ถึงในระยะยาว
รวมถึงผู้บริโภคหันไปซื้อของออนไลน์มากขึ้นเพราะมีโปรโมชั่นที่ล่อตาล่อใจมากกว่า
โจทย์ที่ชาเลนจ์ผู้ประกอบการคือ เมื่อคนเข้าร้านน้อยลง โอกาสที่จะเข้าถึงลูกค้าไม่ได้ถี่เหมือนเมื่อก่อน แล้วเราจะคว้าโอกาสเพิ่มขึ้นได้อย่างไรในวันที่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้วทำอย่างไรให้ซื้อของมากขึ้น
ทำอย่างไรให้สินค้าของเราเป็น “สินค้าที่จำเป็น” ให้ได้ รวมถึงราคาสินค้าถูกไม่ได้หมายความว่าจะขายได้เสมอไป แต่ถ้าสินค้าตอบโจทย์และมีราคาแพงก็สามารถขายได้เช่นกัน


2. Insulated Consumer กลุ่มคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก กลุ่มเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต ซึ่งอาจจะส่งผลในระยะยาว กลายเป็นนิวนอร์มอล โดยกิจกรรมผู้บริโภคทั่วเอเชียที่เปลี่ยนไปคือ
ทำความสะอาดบ้านมากขึ้น 50%
ทำอาหารที่บ้านเพิ่มขึ้น 41%
เรียนหนังสือจากที่บ้าน 35%
ช้อปปิ้งออนไลน์ 35%
ออนไลน์เอนเตอร์เทนเมนต์ 33%
ทำความงามเองที่บ้านมากขึ้น 22%
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคกลุ่มนี้ นีลเส็นมองว่า เป็น ‘นาทีทอง’ ของสินค้า ของแบรนด์ในการออกนวัตกรรม ออกสินค้าใหม่ ๆ เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภค ยกตัวอย่างกลุ่มสินค้าเครื่องดื่ม สินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ สามารถขายได้มากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา
รวมทั้งผู้บริโภคยังต้องการความวาไรตี้ของคอนเทนต์ที่มีหลากหลายและมากขึ้น
ตราบใดก็ตามที่เราเข้าใจว่าอะไรคือสินค้าจำเป็นต่อผู้บริโภค สามารถบอกได้ว่าประโยชน์ของแบรนด์เราต่างกับสินค้าอื่นในตลาดอย่างไร เราก็สามารถก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้

หลังโควิดเป็นนาทีทองของสินค้าใหม่ ตราบใดที่เรารู้ว่าสินค้าอะไรที่จำเป็น
ผู้บริโภคยังต้องการวาไรตี้ของคอนเทนต์ทั้งแอป วิดีโอ รายการทีวี
นาทีทองในการออกนวัตกรรม
ต้องเข้าใจผู้บริโภคว่ามี 2 กลุ่ม มองว่าอะไรทำให้เปลี่ยนพฤติกรรม
สร้างโอกาส ตั้งคำถามว่า ทำไมสินค้ายังจำเป็น ถ้าหลุดจากสินค้าจำเป็นก็คือขายไม่ได้
หลีกเลี่ยงไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงทั้งสองกลุ่ม ไม่ใช่แค่มองในระยะสั้น แต่ต้องมองในระยะยาว
–
