การเข้าเป็นผู้ถือหุ้นหลักในกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง ของ KTC ที่ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคยกล่าวไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีชัดเจน เมื่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 อนุมัติให้ KTC เข้าซื้อหุ้น 75.05% หรือคิดเป็นจำนวน 75,050,000 หุ้น ในบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง จำกัด จากธนาคารกรุงไทย
ส่วนธนาคารกรุงไทยที่เคยถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง จำกัด จะเหลือสัดส่วนหุ้นเพียง 24.95%
การซื้อหุ้นในบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง จำกัด ของ KTC เป็นหนึ่งในแนวทางที่มาตอบโจทย์ธุรกิจ KTC 3 ประการได้แก่
1.
ขยายธุรกิจสู่ธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะธุรกิจของบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง มีรายได้การเติบโตที่น่าสนใจ
โดย 3 ปีที่ผ่านมาจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง มีรายได้รวมและกำไรดังนี้
2560 2,138.31 ล้านบาท กำไร 68.36 ล้านบาท
2561 1,246.45 ล้านบาท กำไร 273.72 ล้านบาท
2562 842.19 ล้านบาท กำไร 316.82 ล้านบาท
2.
KTC ต้องการขยายธุรกิจสู่ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ให้ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น จากเดิมที่ KTC มีแนวทางขยายธุรกิจสู่ธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเมื่อปลายปี 2563 และเปิดธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม” เป็นบริการแรก
การที่ KTC มีธุรกิจกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่งในพอร์ต ทำให้ KTC สามารถขยายฐานลูกค้าสินเชื่อจากฐานลูกค้าเดิมของกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่งเพื่อสร้างการเติบโตด้านรายได้อีกทางหนึ่ง
เนื่องจากกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง มีบริการเช่าซื้อ (Hire Purchase) และบริการเช่าแบบลีสซิ่ง (Financial Lease) ประกอบด้วย
- ลีสซิ่งสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ประกอบการ เช่น รถบรรทุก รถขุดและเครื่องจักร
- เช่าลีสซิ่งรถยนต์แบบดำเนินงาน หรือรถเช่าเพื่อประกอบกิจกรรมทางธุรกิจขององค์กรต่าง ๆ
3.การให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ บริการเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วและบริการสินเชื่อรถหมุนเงิน (จำนำทะเบียนรถยนต์)
- การให้สินเชื่อกับสินค้าอุปโภคทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ ไอที รถจักรยานยนต์หรือเครื่องประดับต่าง ๆ
–
