ดีนี่ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กในเครือบริษัท นีโอ คอปเปอเรท จำกัด มั่นใจขึ้นเป็นผู้นำตลาดสินค้าสำหรับเด็ก เผยรายได้ปี 64 แตะ 2.9 พันล้าน คิดเป็น 26% ของส่วนแบ่งตลาดรวม พร้อมรับปี 65 โตเพิ่ม 20% ไม่หวั่นแม้เศรษฐกิจซบเซา และอัตราเด็กแรกเกิดลดลง
ศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัททำตลาดสินค้าอุปโภคตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคเป็นเวลายาวนานถึง 33 ปี มีแบรนด์และสินค้าที่อยู่เคียงข้างชาวไทยอย่างหลากหลาย เช่น ไฟน์ไลน์ ดีนี่ ทรอส บีไนซ์ และโทมิ เป็นต้น ทั้งนี้ ปี 2564 ที่ผ่านมา “ดีนี่” (D-nee) หนึ่งในแบรนด์สำคัญของบริษัทสามารถสร้างผลงานการเติบโตอย่างโดดเด่น ครองใจคุณแม่นับล้าน จนก้าวเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในตลาดสินค้าเด็ก ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26% เพิ่มจาก 23% ถือเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจ ท่ามกลางปัจจัยลบที่เกิดขึ้นมากมาย
ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งในตลาดของใช้เด็ก แม้ภาพรวมตลาดติดลบ
ตลาดสินค้าเด็ก กลุ่มใหญ่สุดคือหมวดเครื่องใช้ส่วนบุคคลมีสัดส่วนประมาณ 76% ตามด้วยเครื่องใช้ในครัวเรือน 24% โดยแบรนด์ดีนี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวม 26% เพิ่มจาก 23% แบ่งตามรายสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก 71% จาก 68% เป็นเบอร์ 1 ติดต่อกันปีที่ 4 ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก 78% จาก 71% เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันปีที่ 3 และกลุ่มที่ใช้กับผิวพรรณก็เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาด 13% เพิ่มจาก 11% เป็นต้น
มูลค่าตลาดสินค้าเด็กในปี 2564 อยู่ที่ 5,200 ล้านบาท แม้ตัวเลขจะดูมาก แต่ความจริงแล้วติดลบรวมถึง 10% ในส่วนของดีนี่ที่ได้ส่วนแบ่งถึง 26% จาก 5.2 พันล้าน แต่ก็ติดลบ 1% เช่นกัน ถึงอย่างนั้นดีนี่เชื่อว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เด็กเกิดน้อยลง ทำให้กลุ่มคนที่คิดจะมีลูกคือคนที่มีความพร้อมที่จะทุ่มงบประมาณสำหรับสินค้าเด็ก ดีนี่จึงได้รับประโยชน์จากส่วนนี้ไปนั่นเอง
เติบโตได้ ด้วยการขยายผลิตภัณฑ์ให้ตามลูกค้าไปตั้งแต่เด็กจนโต
สินค้าเด็ก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการกำหนดช่วงอายุไว้ชัดเจน เพราะเด็กทารกไปจนถึงช่วงก่อนวัยกำลังโตต้องการการดูแลที่อ่อนโยนกว่าปกติ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้หลายคนอาจมองว่าตันง่าย เพราะพอลูกค้าโตเป็นวัยรุ่นก็เลิกใช้สินค้าไป
ทว่าสินค้าเด็กของดีนี่ มีตั้งแต่สำหรับทารกวัยแรกเกิด คือผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BABY มาจนถึงช่วงวัยเด็กที่สามารถเดินได้ วิ่งเล่นได้ ต้องการการดูแลเสื้อผ้าและผิวพรรณเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก หรือก็คือกลุ่ม KIDS ไปจนถึงวัยที่เด็กกำลังจะเข้าสู่ความเป็นวัยรุ่น ยังต้องการผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน แต่ก็ไม่เด็กจนเกินไป เรียกว่ากลุ่ม PRETEEN
การแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์ตามช่วงวัย ทำให้ดีนี่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น เพราะเมื่อคนซื้อมีความคุ้นเคยกับแบรนด์มาช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอีกครั้งและพบว่ามีสินค้าในแบรนด์เดียวกันที่ตรงกับความต้องการ ก็ยังคงจะใช้สินค้าแบรนด์นั้นต่อไปเพราะความไว้ใจ
ทำตลาดทั้งออนไลน์ & ออฟไลน์ คาดรายได้เติบโต +20%
บริษัทยังปรับตัวในการทำตลาดให้สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคการเสพสื่อที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เวลาดูคอนเทนต์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น ติ๊กต๊อก (TikTok) เฟซบุ๊ก (Facebook) อินสตาแกรม (IG) ฯลฯ และการดึงพรีเซนเตอร์พ่อแม่ยุคใหม่อย่าง “มิว” นิษฐา – “เซนต์” ธราภุช คูหาเปรมกิจ และ “น้องมาริน เป็นพรีเซนเตอร์
การสร้างการรับรู้ ดีนี่มุ่งเน้นที่เป็น Touch Point กับกลุ่มคุณแม่ ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านทางกิจกรรมในโรงพยาบาลที่ทำอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี และผ่าน D-nee Shop ที่เป็นศูนย์รวมสินค้าของดีนี่ ในห้าง Robinson สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์
ส่วนแนวทางการทำตลาดปี 2565 บริษัทยังมุ่งมั่นนำเสนอสินค้าคุณภาพออกสู่ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น กลุ่มผลิตภัณฑ์อาบสระสำหรับเด็กเล็ก Organic Sakura Series เป็นฮีโร่โปรดักต์ และการใช้กลยุทธ์ความร่วมมือ (Collaboration) กับพันธมิตรต่าง ๆ ต่อยอดความแข็งแกร่ง
โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายของดีนี่ในปี 2565 ไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท โต 20% จากปี 2564 ส่วนแผนระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า ต้องการผลักดันให้ ดีนี่เป็นผู้นำตลาดสินค้าออร์แกนิกสำหรับเด็กครอบคลุมทุกหมวดหมู่
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



