FOMO Marketing ทำความรู้จักการตลาดที่ยังเวิร์คเพราะใครๆ ก็กลัวตกกระแส
FOMO Marketing คืออะไร
จากงานวิจัยของ PEW พบว่า 75% ของผู้ใช้ Facebook เช็กหน้าฟีดทุกวันเพราะกลัวตกข่าว จากวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าสิ่งที่ขับเคลื่อน Social Media Engagement ได้อย่างดีคือความกลัวตกรถไฟนั่นเอง บางคนอาจจะมองว่า FOMO นั้นมีแต่ส่วนแย่ แต่ในบางมุม FOMO ก็ช่วยผลักดันให้คนเราลองทำสิ่งใหม่ ๆ หรือเปิดรับกับโอกาสใหม่ที่เข้ามาเช่นกัน
ทำไมการตลาดแบบ FOMO จึงได้ผลดี
เพราะ FOMO มีองค์ประกอบสุดลงตัวสามอย่าง Social Proof, ความรู้สึกที่ต้องทำทันที, และจำนวนของที่มีจำกัด จากการทดลองสุดคลาสสิกในปี 1975 โดยนักจิตวิทยา Adewole Lee ทดลองให้นักเรียนจำนวน 200 คนเลือกว่าอยากกินคุกกี้จากโหลไหนมากกว่ากัน ระหว่างโหลที่มีคุกกี้เต็มขวด กับโหลที่มีคุกกี้เหลือแค่เพียงค่อนขวด แน่นอนทุกคนเลือกโหลที่มีคุกกี้ค่อนขวด
ตัวอย่าง Case ของ FOMO Marketing
แบรนด์วิสกี้ Hi-End อย่าง Pappy Van Winkel ผลิตปีละ 8,000 ขวด ในขณะที่ Jim Beam ผลิตมากถึงปีละ 7-8,000,000 ลัง (ในหนึ่งลังมี 12 ขวด) เพราะวิธีนี้นี่เองวิสกี้ของแบรนด์ Pappy Van Winkel มีราคาถึงหลายพันดอลลาร์
ใน Online นำ FOMO มาใช้ในธุรกิจโรงแรม หรือเสื้อผ้า โดยมักมี Notification ขึ้นว่า มีคนกำลังจองห้องนี้อยู่ หรือ Low Stock เป็นต้น
14 วิธีที่จะใช้ FOMO ในธุรกิจ
- แจ้งว่า Stock มีจำนวนจำกัด
แจ้งว่า Stock มีจำนวนจำกัดทำให้คนอยากกดสั่งทันที ลูกค้าจะรู้สึกว่าของสิ่งนั้นฮิตเหลือเกิน คนสั่งเยอะ แต่ของมีน้อย ทำให้กลัวซื้อไม่ทัน อย่าง Booking.com เป็นต้น
- ให้ดีลพิเศษเฉพาะลูกค้าที่ Subscribe Email เท่านั้น
นอกจากข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และข้อมูลที่ลูกค้าจะสนใจ เรายังเพิ่มส่วนลดต่าง ๆ ให้ลูกค้าที่ Subscribe อีกด้วย
- ส่วนลดพิเศษเฉพาะช่วงเวลา
อาจจะให้ส่วนลดพิเศษ หรือของแถม พิเศษในเฉพาะช่วงเวลาจำกัด
- เขียนหัวข้อ Email ให้น่าสนใจ เพื่อให้ลูกค้าอยากเปิดอ่าน
หัวข้อที่รู้สึกว่าต้องเปิดอ่าน เพราะกลัวจะพลาดเช่น “ห้ามพลาด” หรือ “เฉพาะวันนี้เท่านั้น” หรือ “ดีลนี้ถึงแค่เที่ยงคืน”
- ทำ Content ให้ลูกค้าที่ Subscribe รู้สึกพิเศษ และ ไม่อยากพลาด
FOMO ยังนำไปใช้ในการเขียนคอนเทนต์ได้ด้วย เช่นให้รู้สึกว่าคอนเทนต์นี้เป็นความลับที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน, หรือตั้งคำถามในหัวข้อ และให้คำตอบในเนื้อความ หรือการให้ความรู้สึก Exclusive ที่หาไม่ได้ในที่อื่น เช่น Exclusive CEO Talk เป็นต้น
- ใช้ Social Proof ให้รู้สึกว่าสิ่งนั้นมีเหลือน้อย
บาง Website จะมี Notification บอกเช่น “Live Visitor Count” จำนวนผู้ที่เข้าชม Website ณ ปัจจุบัน หรือจำนวนคนที่เข้าดู Website ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หรือจำนวนคนที่ดูหรือซื้อสินค้าชิ้นนั้น
7. ให้ดีลพิเศษสำหรับผู้ซื้อ 100 คนแรกเท่านั้น
ในวงการ Entertainment ชอบใช้วิธีการแจกของฟรี การให้ของแจกเฉพาะ 100 คนแรกทำให้คนอยากมางานเร็วขึ้น หรือเราอาจจะใช้วิธีให้ส่วนลดพิเศษ จำนวนจำกัดสำหรับลูกค้าที่ Subscribe Email เป็นต้น
- ขึ้นสินค้าที่ Sold Out หรือ Offer ที่หมดไปแล้ว
การขึ้น Offer ที่จบไปแล้ว หรือขึ้นสินค้าที่ Sold Out ทำให้รู้สึกว่าพลาดดีลดี ๆ หรือสินค้าดี ๆ ไป
- ให้ดีล “ส่งฟรี” ในช่วงเวลาที่จำกัด
90% ของผู้บริโภคบอกว่าโปรโมชั่นส่งฟรี ทำให้อยากซื้อมากขึ้น และซื้อต่อหนึ่งบิลมากขึ้นถึง 30%
- สั่งภายในวันที่….จะได้รับสินค้าภายในวันที่….
ถ้าสั่งสินค้าภายในวันที่….จะได้รับสินค้าภายในวันที่…. การที่ทำให้ลูกค้านึกถึงวันที่จะได้รับของ และรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งนั้น ๆ มากขึ้น และอยากสั่งมากขึ้นนั้นเอง
- ใช้ Exit-Intent Widget
ปัญหาหนึ่งของการขายของ Online คือลูกค้ารู้สึกว่าเดี๋ยวค่อยมากดซื้อก็ได้ เราอาจจะขึ้น Pop Up ตอนก่อนออกจาก Website ว่ามีดีลนี้อยู่นะ ใกล้จะหมดเวลาแล้ว
- ใช้การ Event
การจัด Event ทำให้คนรู้สึกว่าเราสามารถทำสิ่งนี้ตอนนี้ และที่นี่เท่านั้น ทำให้ลูกค้าต้องตัดสินใจซื้อทันที ถ้าลูกค้าไม่ออกจากบ้านและไปที่งานก็จะพลาดข้อมูล หรือ ดีลพิเศษไป โดยก่อนงานควรจะให้ลูกค้าจองผ่านทาง Email ไว้ก่อนจะได้มี Commitment ในวันที่จะไปจริง ๆ
- ทำ FOMO Marketing Calendar
เทศกาลเพลงระดับโลกอย่าง Glastonbury Festival ก็ใช้ FOMO Marketing เช่นกัน เพื่อให้ Demand ของตั๋วคอนเสิร์ตมีมากกว่า Supply
- ใช้ Count down timer
ใช้ Count down timer เพื่อบอกว่าดีลนี้จะหมดภายในเวลา 1 วัน 5 ชั่วโมง 12 นาที เป็นต้น แต่ดีลนั้นต้องเป็นดีลที่พิเศษจริง ๆ จึงจะดึงดูดใจลูกค้าได้
จะเริ่มใช้ FOMO Marketing ได้อย่างไรถ้าเพิ่งเริ่มธุรกิจ
แบรนด์น้องใหม่ หรือ Start Up มักประสบปัญหาคล้ายกันว่าจะทำให้คนรู้สึกว่าของมีน้อย หรือหายากได้อย่างไรในเมื่อยังไม่มีใครรู้จักสินค้าเราเลย
แต่เราอาจจะมีมุมที่เอามาพูดได้เช่น
- ให้บอกลูกค้าถึง ทุกความสำเร็จที่เราทำ และเล่าว่าเรามีแผน Roadmap อย่างไรต่อไป
- การที่เราบอกว่าสินค้าเราหายากฟังดูน่าเชื่อกว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่มีกำลังผลิตสินค้าออกมามากมายไปหมด
- ลูกค้าบน Social มีความรู้สึกร่วมกับแบรนด์เล็ก ๆ มากกว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ
ที่สำคัญเราต้องวางแผนลงตารางการทำ FOMO Marketing ในแต่ละเดือนล่วงหน้า เพื่อให้การตลาดแบบ FOMO นั้นได้ผล
Source: https://www.nudgify.com/fomo-marketing/
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



