บนเส้นทางประวัติศาสตร์ เอสซีจี ฝ่าวิกฤติต่างๆ มาแล้วมากมาย แต่ในที่สุดสามารถก้าวสู่ปีที่ 100 ด้วยความภาคภูมิใจ

“องค์กรนวัตกรรม” เป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกไว้นานหลายปีและมั่นใจว่าเป็นแนวทางเดียวที่บริษัทจะเติบใหญ่อย่างยั่งยืนในอนาคต

ยอดรายได้และผลกำไรของ เอสซีจี ในปี 2556 รวมทั้งการได้รับคัดเลือกให้เป็นองค์กรที่ทำ CSR ได้ดีเป็นที่ 1 ของโลก ในสาขาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Building Materials & Fixtures) จาก DJSI (Dow Jones Sustainability Indexes) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในยุคนี้ ที่น่าภาคภูมิใจ

การตอกย้ำเคี่ยวกรำทำความเข้าใจเรื่องนวัตกรรมเลยเกิดขึ้นอย่างหนัก  พร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิถีในการทำงานของคนเอสซีจีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กลายเป็นแรงเหวี่ยงสำคัญในการส่งต่อองค์กรไปในศตวรรษหน้า

ถอดรหัสแห่งความยั่งยืน

กานต์ ตระกูลฮุน  กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า คนคือฟันเฟืองหลักที่จะขับเคลื่อนเอสซีจีไปยังทิศทางที่วางไว้

ปัจจุบัน เอสซีจี มีพนักงานทั้งหมดรวมกันทั้งไทย และต่างชาติประมาณ 47,180 คน เป็นชาวต่างชาติ 14,308 คน หรือ 30.3%

แนวทางสำคัญที่ได้วางไว้ไว้กับคนที่สำคัญเช่น

1.เปลี่ยน  Mindset  พนักงานใหม่ผ่านหลักสูตร SCG Ready Together  คำว่าองค์กรนวัตกรรม และปลูกฝังในเรื่องอุดมการณ์ 4 ที่ทุกคนต้องยึดมั่นเป็นแนวทางในการทำงาน คือการตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ  เชื่อมั่นในคุณค่าของคน และรับผิดชอบสังคม   และได้ถูกตอกย้ำเพิ่มอีก 2 เรื่องคือ Open  การเปิดใจตั้งใจรับฟังผู้อื่น และ Challenge   คือการไม่ยึดติดกับความสำเร็จแบบเดิมๆ กล้าคิดอะไรที่แตกต่างที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

2. ให้ความสำคัญในการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่องใน ปี 2556 มีงบประมาณเรื่องคนสูงถึง 1,500 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนในการศึกษาต่อการอบรม ทั้งในและต่างประเทศ แต่ละปีบริษัทมีทุนให้นักเรียนไปเรียนปีละ 92 ทุน ทั้งทางด้านเอ็มบีเอและทางด้านเทคโนโลยี

ในเรื่องของหลักสูตรอบรมที่มีอยู่ยังทำอย่างเข้มข้นต่อไป แต่วิธีการเรียนรู้จะเปลี่ยนไปให้เหมาะกับการสร้างนวัตกรรมมากขึ้น

นอกจากหลักสูตรต่างๆในการพัฒนาคนแล้วกานต์ยังกล่าวว่าทางด้าน HR และเรื่องเทรนนิ่งโปรแกรมที่ว่าดีแล้วยังต้องมารื้อใหม่หมดเพื่อพัฒนาตัวเองให้ Excellent จริงๆ

เขาตั้งเป้าไว้ว่า ในปี  2561 เอสซีจี จะต้องมีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 1,600 คน เป็นนักวิจัยระดับปริญญาเอกกว่า 170 คน ใช้งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนากว่า 5,600 ล้านบาท

3. เตรียมรับมือกับคน Gen Y  ปัจจุบัน เอสซีจีมีพนักงานทั้งหมด  4.7 หมื่นคน เป็น Gen Y 34%  อีก 5 ปี ข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 53%  

เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งขององค์กรที่จะต้องหาวิธีการทำงานร่วมกันกับคนกลุ่มนี้ โดยขณะนี้เอสซีจีกำลังทำการวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อ “Gen Y Pattern of Work” เพื่อให้ทราบทัศนคติของ Gen Y   ที่มีต่อการทำงานในองค์กร รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ต้องการจากองค์กร และความมุ่งหวังในการเติบโตในอนาคต

เพื่อให้การสร้างคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เอสซีจียังให้ความสำคัญในเรื่องการทุ่มเม็ดเงินทางด้าน  การค้นคว้าวิจัยและพัฒนา ผ่านเม็ดเงินก้อนใหญ่ ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ส่งเสริมและสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) สินค้าของ SCG Eco Value รวมทั้งรูปแบบในการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  ตลอดจนสร้างเครือข่ายงานวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในและต่างประเทศ และได้มีการรับพนักงานด้านวิจัย และพัฒนามากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในเรื่องการคิดค้นสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการใหม่ๆ

ในปี 2557 ได้จัดเตรียมงบประมาณด้าน R&D  กว่า 4,000 ล้านบาท จากปี 2556 ที่ใช้ไปเพียง  2,068 ล้านบาท  ส่งผลให้สินค้าในกลุ่ม HVA มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 35 ของยอดขายรวมปี 2556

เอสซีจีตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2558  ยอดขายที่เป็นสินค้าและบริการ HVA ต้องเพิ่มสูงขึ้นเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด

ยุทธศาสตร์ เอสซีจี ในการขับเคลื่อนโลก

ปัจจุบันแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจในทุกกลุ่มถูกกำหนดไว้ชัดเจนว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับ 4 เรื่องหลักที่เป็นเทรนด์ของโลกคือ

1. Aging Society   สังคมผู้สูงวัยคือกลุ่มลูกค้าหลักที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต

2. Green      ต้องผลิตสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด สินค้า Eco Value ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดวัสดุก่อสร้างเช่น หลังคากันความร้อน ระบบบ้านเย็น กระเบื้องหลังคาที่สามารถนำพลังงานแสงอาทิตย์ไปผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคาร หรือสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำประหยัดน้ำ

วันนี้เอสซีจียังมียอดขายสินค้า  SCG Eco Value ประมาณ 24 %   หรือ 1 ใน 4 จากรายได้รวม  กานต์ยอมรับว่าการตั้งเป้าให้สินค้า Green มียอดรวมรายได้ประมาณ 1 ใน 3 ของสินค้า เป็นเรื่องยาก เพราะสินค้าพวกนี้ยังมีราคาที่สูงมาก

3. Emobility ด้วยการสร้าง  New Communication System  ต้องให้ความสำคัญในเรื่องไอทีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อเตรียมพร้อมเป็นการวางแพลตฟอร์มเข้าไปในภูมิภาคอาเซียนด้วย

4.  Smart Material  เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากในอนาคต และเอสซีจีให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง

ชิงปักธงในอาเซียน

            เพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน เอสซีจียังเดินหน้ากลยุทธ์หลักคือ ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน  เช่น โครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์แห่งแรกของเอสซีจีในอินโดนีเซียและเมียนมาร์ รวมทั้งโครงการขยายกำลังผลิตปูนซีเมนต์ที่กัมพูชา ทุกโครงการดำเนินการได้ตามแผนงาน ส่วนการลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามมีความคืบหน้าด้วยดี โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว และคาดว่าจะได้ข้อสรุปทางการเงินประมาณปลายปีนี้ รวมทั้งยังมีโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจา เพื่อเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนต่อเนื่อง โดยเอสซีจียังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของอาเซียนในระยะยาว

  สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ในปี 2556 มีรายได้จาก การขาย 38,929 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีก่อน เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการในอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยการซื้อกิจการกระเบื้องเซรามิกในเวียดนาม หรือ Prime Group ส่งผลให้เอสซีจีมีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิกสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก

            ปัจจุบัน เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 71,844 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 16 ของสินทรัพย์รวมของบริษัทสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มีมูลค่า 440,633 ล้านบาท

โดยแผนธุรกิจปี 2557 บริษัทจะเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในประเทศและอาเซียน ตามแผนธุรกิจ 5 ปี (2557-2561) ใช้งบลงทุนประมาณ 250,000 ล้านบาท โดยในปีนี้คาดว่าจะใช้งบฯลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท ทั้งการควบรวมกิจการในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย และการตั้งโรงงานในสหภาพเมียนมาร์และกัมพูชา

เร่งสร้าง Global Brand

การเคลื่อนตัวจาก Engineer Base  มาเป็น  Innovative Base  เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด  และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้าทำให้เอสซีจีสามารถยืนอยู่เหนือการแข่งขันกันในด้านราคา กับสินค้าที่ไม่มีมูลค่าเพิ่มได้อย่างแน่นอน

พร้อมๆ กับการเดินหน้าเต็มที่ในการเชื่อมโยงแบรนด์สินค้าเข้ากับแบรนด์องค์กรอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการผนึกตราสินค้าที่มีอยู่หลากหลายให้รวมเป็นหนึ่งภายใต้สัญลักษณ์เดียวกัน เพื่อสร้างความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความสะดวกในการจดจำแบรนด์ให้กับผู้บริโภคได้เริ่มต้นจริงจังในยุคนี้

วันนี้เอสซีจีกำลังสร้างแบรนด์ผ่าน  2 แบรนด์หลักของตัวสินค้าคือ “คอตโต้”  และ “ช้าง” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ใช้ในประเทศไทย และประเทศลาว ส่วนประเทศอื่นๆ ในอาเซียนจะใช้คำว่า “เอสซีจี” แทน

สินค้าที่มีนวัตกรรมแต่ถ้าไม่ได้มาจากแบรนด์ที่ดีและทุกคนยอมรับการขายก็ทำไม่ได้เช่นกัน การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญในการกาวสู่สู่อนาคตที่ยั่งยืนในศตวรรษหน้าเช่นกัน

 

Marketeer ฉบับเดือนมีนาคม 2557

เรื่อง : อรวรรณ บัณฑิตกุล

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer