หลังจากไม่ได้พานักข่าวเดินทางไปแถลงข่าวในต่างประเทศมา 2 ปี เพราะวิกฤตโควิด-19 ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา เคทีซีก็เลยจัดเต็มจัดแถลงข่าวที่ประเทศจอร์แดน ในเส้นทาง อัมมาน-มาดานา-เพตรา-วาดิรัม-อคาบา-เดดซี และเจอราซ 

หลังจากสนุกสนานเเละตื่นเต้นในบรรยากาศของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องเจอระหว่างทางทั้ง ลม ฝน ลูกเห็บ น้ำท่วม เเละหิมะครบรสชาติเเล้ว

งานเเถลงข่าวก็ได้จัดขึ้นที่โรงเเรม Kempinski Dead Sea ในประเด็นหลัก “ทิศทางการดำเนินธุรกิจของเคทีซีในปี 2566″

โดยมี ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เเถลงข่าวร่วมกับทีมงานผู้บริหาร 

สิ้นปี 2565 นี้ระเฑียรขอลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

หลังจากต่ออายุมาแล้ว 3 ปี จากการครบกำหนดเกษียณอายุ 60 ปี เมื่อปี 2562

ถึงจะไม่ได้เป็นผู้นำองค์กรอีกต่อไปแต่เขาก็มั่นใจว่ากลยุทธ์ที่ได้เตรียมไว้ จะสามารถทำให้เคทีซีทำกำไรนิวไฮต่อไป และมีเป้าหมายว่าในปี 2570 ตัวเลขกำไรจะต้องถึง 10,000 ล้านบาท

มาเรียนรู้วิธีคิดของผู้นำองค์กรที่สามารถพลิกบริษัทที่ขาดทุนให้ได้กำไรตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน และทำกำไรนิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 11 ปี

แล้วแผนที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นถูกเขาวางไว้อย่างไร

ระเฑียรบอกว่าในปี 2566 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเคทีซีในทุก ๆ ด้าน

โดยมีแนวทางใน 3 กลยุทธ์หลัก คือ

1. จัดการโครงสร้างให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งด้านธุรกิจ ไอที และระบบปฏิบัติการ

2. ส่งเสริมให้คนเคทีซีได้พัฒนาทักษะสำคัญด้านต่าง ๆ ที่สร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและเป็นประโยชน์กับองค์กร และ

3. บริหารจัดการข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการ เพื่อให้เคทีซีมีฐานข้อมูลคุณภาพ สนับสนุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินธุรกิจของเคทีซีจากนี้จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจหลัก (Existing) ได้แก่

1. ธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่มีพอร์ตสินเชื่อในระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป

2. กลุ่มธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด (New SCurve) ได้แก่ สินเชื่อรถแลกเงิน เคทีซี พี่เบิ้ม และสินเชื่อกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง

3. กลุ่มโมเดลธุรกิจที่อยู่ในระหว่างการบ่มเพาะ (Incubator) เช่น MAAI-Loyalty Platform เป็นต้น”

ระเฑียรฝากความหวังนี้ไว้กับผู้บริหารหญิงคนสำคัญของเคทีซี 3 คน

5 กลยุทธ์สำคัญเพื่อการโต ของธุรกิจหลักบัตรเครดิต  

ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต กล่าวว่า  ธุรกิจบัตรเครดิตยังเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้หลักให้กับเคทีซีมาตลอดนั้น ปัจจุบันมีลูกค้าถือบัตรอยู่ประมาณ 2.5 ล้านใบ จากสมาชิก 2 ล้านราย

สำหรับแผนกลยุทธ์การตลาดบัตรเครดิตในปี 2566 จะทำอยู่บน 5 แกนสำคัญ คือ

1. การบริหารพอร์ตลูกค้าให้มีคุณภาพมากที่สุด ด้วยการสร้างสรรค์โปรแกรมการตลาดเพื่อให้ลูกค้าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง และการนำระบบออโตเมชัน (Automation) เข้ามาใช้ในกระบวนการการบริหารความสัมพันธ์กับสมาชิกบัตร 

2. การเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000-200,000 บาทขึ้นไป ด้วยสิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์ที่ตรงใจ

3. จัดโปรแกรมกระตุ้นการใช้จ่ายที่ตอบโจทย์ฐานสมาชิกบัตรเคทีซี เน้น 3 หมวดใช้จ่ายหลัก คือ หมวดร้านอาหารและร้านอาหารในโรงแรม (Dining & Hotel Dining) หมวดช้อปปิ้งออนไลน์ และหมวดท่องเที่ยว นอกจากนี้ เคทีซียังคงเดินหน้าความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายทางธุรกิจเดียวกันในการทำกิจกรรมการตลาดที่ตอบโจทย์ทุกหมวดใช้จ่ายสำคัญของสมาชิก และเพื่อสร้างการจดจำและผูกพันกับแบรนด์

4. ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในการจัดแคมเปญการตลาดและกิจกรรมการขยายฐานสมาชิกบัตรในต่างจังหวัด

5. บริหารจัดการการสื่อสารการตลาด (Marketing Communications) ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยเน้นการทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์เคทีซีให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

โดยในปี 2566 ตั้งเป้ามีสมาชิกสมัครบัตรใหม่ 180,000 ใบ และคาดว่าจะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% จากปี 2565 หรือประมาณ 264,000 ล้านบาท

เร่งสร้างแบรนด์ “เคทีซีพี่เบิ้ม รถแลกเงิน” 

ส่วนแผนกลยุทธ์ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม” กลุ่มธุรกิจใหม่ อีกความหวังหนึ่งขององค์กรนั้น เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุดสายงานสินเชื่อรถยนต์ กล่าวว่า

ในปี 2566 จะเน้นขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทั้งการให้วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท อนุมัติใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที และเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่มีข้อจำกัดด้านเอกสารและรายได้ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น

โดยธนาคารกรุงไทยกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ จะเป็นช่องทางหลักในการรับสมัคร ซึ่งเราได้ปรับรูปแบบบริการให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารสามารถทำรายการผ่านแท็บเล็ตในการรับสมัครสินเชื่อให้กับลูกค้าและอนุมัติแบบครบวงจรภายใน 1 ชั่วโมง พร้อมรับเงินทันที

รวมทั้งจะเน้นการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ไปยังแพลตฟอร์มหลักต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด 

“สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเคทีซี พี่เบิ้ม ตามที่เราวางบทบาทเป็นสินเชื่อทางเลือกคนไม่ท้อ เราจึงเปิดรับทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะคนทำมาหากินที่สู้ชีวิตและผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อก้อนใหญ่จากสถาบันการเงินอื่น”

โดยคาดว่าสิ้นปี 2566 จะมียอดอนุมัติสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพิ่ม 9,100 ล้านบาท

ในช่วง 3 ปีที่ผ่าน เคทีซี พี่เบิ้ม เติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เเต่ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้เป้าหมายที่วางไว้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้พลาดไปมาก ซึ่งเรือนแก้วบอกว่าจากประสบการณ์ต่าง ๆที่ได้เรียนรู้  ทำให้มั่นใจว่าปีนี้ทำได้ตามเป้าแน่นอน

“เคทีซี พราว” ต้องบุกออนไลน์มากขึ้น

ในส่วนของธุรกิจสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซีพราว” วันนี้บัตรใบเดียวก็สามารถทำได้ทั้งการเบิกใช้วงเงิน รูด โอน กด ผ่อน

พิชามล จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุดสายงานสินเชื่อบุคคล พูดถึงแผนกลยุทธ์ในปี 2566 ว่า ด้านธุรกิจสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน หรือธุรกิจสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซีพราว” จะพัฒนาไปในทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

เริ่มที่การเปิดช่องทางให้ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านโมบายแอปฯ ในรูปแบบของใบสมัครออนไลน์ (Electronic Application) และช่องทางการเบิกถอนเงินสดออนไลน์ผ่านแอปฯ KTC Mobile ให้สะดวกขึ้น

โดยเพิ่มบัญชีพร้อมเพย์ในการโอนเงิน นอกเหนือจากที่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารได้ 15 แห่ง และเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการใช้สินเชื่อด้วยต้นทุนรับสมัครที่ต่ำแต่ได้ผลดี รวมทั้งเดินหน้าสร้างความผูกพันระหว่างเคทีซีกับกลุ่มสมาชิก ด้วยการต่อยอดกิจกรรมสัมมนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ และการส่งเสริมวินัยในการชำระเงิน

คาดว่าเมื่อสิ้นปี 2566 พอร์ตลูกหนี้สินเชื่อบุคคลจะเติบโต 7% และมีสมาชิกใหม่ “เคทีซี พราว” 110,000 ราย

ระเฑียรเคยกล่าวกับ Marketeer ว่า

“ผมคิดว่าด้วยทุกอย่างที่ทำอยู่ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน KTC ตลอดเวลา ผมยังเชื่อว่าองค์กรนี้สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

 ผมไม่ปฏิเสธว่าผู้นำองค์กรสำคัญอย่างมาก เพราะเวลาทำให้ดีต้องอาศัยผู้นำและทีมงาน แต่เวลาที่จะทำให้เจ๊งไม่ต้องอาศัยทีมงานผู้นำคนเดียวก็ทำให้เจ๊งได้”

การพัฒนา Mindset ของคนในองค์กรให้มีดีเอ็นเอเดียวกัน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่ระเฑียรได้พยายามดูแลและพัฒนามาตลอดตั้งแต่เข้ามาร่วมงานกับเคทีซี 

เขายังบอกว่าผู้นำคนใหม่ของเคทีซีต้องเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกว่าเขาเเน่นอน

 ระเฑียรย้ำว่า

“แผนการหรือวิธีการทำงานที่วางไว้อาจจะเปลี่ยนตามภาวะเศรษฐกิจ การเมือง หรือสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ แต่เป้าหมายของกำไรเราจะไม่เปลี่ยน”

นอกจากนั้น เคทีซียังเดินหน้าแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนอย่างรับผิดชอบ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับองค์กรให้แข็งแกร่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรคุณภาพและเคารพสิทธิมนุษยชน

 โดยเคทีซีได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนของ THSI (Thailand Sustainability Investment) เป็นปีที่ 4 และติดอันดับ ESG 100 ตั้งแต่ปี 2559 อีกทั้งได้รับการจัดอันดับ MSCI ระดับ A และยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก “FTSE4Good Index Series”

สำหรับปี 2565 นี้คาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท เป็นอีกปีที่จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของเขา 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer