เวเฟอร์ เป็นหนึ่งในขนมขบเคี้ยวโปรดของทุกคน เพราะมีรสชาติอร่อยและกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน แถมมีให้เลือกหลายรสชาติ สามารถรับประทานเล่นเดี่ยว ๆ หรือจะรับประทานคู่กับเครื่องดื่มอย่างชาหรือกาแฟก็กลมกล่อมลงตัว ด้วยเหตุนี้เวเฟอร์จึงกลายเป็นขนมที่ถูกปากทุกคนไม่เพียงในกลุ่มเด็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใหญ่อีกด้วย นอกจากนี้ ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลทีไร ก็มักจะมีขนมเวเฟอร์ยอดฮิตที่หลายคนมักจะนำมาจัดในกระเช้าของขวัญด้วยแน่นอน
ในปัจจุบันเวเฟอร์มีหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดให้เลือกซื้อ แต่เชื่อได้เลยว่าหนึ่งในแบรนด์โปรดที่หลายคนน่าจะชื่นชอบและกินอย่างเอร็ดอร่อย คือ แบรนด์ Loacker (ล็อคเกอร์) แบรนด์ดังระดับตำนานจากอิตาลีนั่นเอง
Loacker เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมายาวนานถึง 98 ปี สามารถทำรายได้ให้เติบโตในทุก ๆ ปี อย่างในปี 2021 Loacker ทำรายได้ทั้งหมดได้มากถึง 373.1 ล้านยูโร หรือในปี 2019 มียอดขาย 355 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2018
ยิ่งไปกว่านั้น ในตลาดเวเฟอร์ บริษัท Loacker ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 56.5% ในอิตาลีเลยทีเดียว เรียกได้ว่า Loacker เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
มารู้จักกับ Loacker แบรนด์เวเฟอร์ดังอายุเกือบ 100 ปีกันเลย
Loacker ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 3 เมษายน 1925 ในเมือง Bolzano (โบลซาโน) รัฐ South Tyrol (ทีโรลใต้) ประเทศอิตาลี โดย Alfons Loacker (อัลฟอนส์ ล็อคเกอร์) ช่างทำขนมชาวออสเตรีย
ย้อนกลับไปตอนแรกเริ่มตอนที่ Alfons Loacker ได้เดินทางมายังอิตาลีและตัดสินเปิดร้านขนมเล็ก ๆ ในเมือง Bolzano ที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นหลักของเมืองนี้
เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงได้ใช้จุดเด่นนี้มาเป็นเสน่ห์ของร้านคือการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ บวกกับสูตรขนมใหม่ ๆ ของ Alfons Loacker ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเองมาโปรโมตร้านเป็นหลัก ซึ่งเขาได้รับเสียงตอบรับอย่างดี ผู้คนโดยรอบชื่นชอบในรสชาติขนมจนร้านของเขาดำเนินไปได้ด้วยดี
แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ร้านของ Alfons Loacker ก็ต้องหยุดชะงักลง ปิดกิจการชั่วคราวและรอจนกว่าสงครามจะสิ้นสุดถึงจะสามารถเปิดร้านได้อีกครั้งหนึ่ง
และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลง Alfons Loacker ก็สามารถกลับมาเปิดร้านได้อีกครั้งหนึ่ง แต่โชคร้ายที่ครั้งนี้เขามีเพียงเมล็ดโกโก้จำนวนน้อยนิดที่เหลืออยู่เท่านั้น
เขาจึงต้องพยายามทำงานเก็บสะสมเงินทีละเล็กทีละน้อย เพื่อจะได้กลับมาเปิดร้านขนมได้อีกครั้ง ด้วยความรักและความพยายาม ทำให้เขาสามารถเปิดร้านทำขนมได้ในที่สุด
ต่อมา ในปี 1954 ร้านขนมของเขาก็ได้เติบโตจนสามารถสร้างตึกใหม่เปิดสาขาในใจกลางเมือง Bolzano ได้สำเร็จ เมื่อกิจการของเขาเป็นไปด้วยดี เขาจึงได้ลงทุนซื้อเครื่องจักรเข้ามาช่วยผลิตขนมในร้านอีกด้วย
เพราะในสมัยนั้น เครื่องจักรถือเป็นของที่มีราคาแพง จึงต้องเป็นกิจการที่ใหญ่โตจริง ๆ ถึงจะมีเงินลงทุนซื้อได้ สิ่งนี้ทำให้หลายคนคาดคิดว่าธุรกิจของ Alfons Loacker เติบโตมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
แต่เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่ง ลูกชายของเขา Armin Loacker (อาร์มิน ล็อคเกอร์) ได้ซื้อเครื่องทำเวเฟอร์เข้ามาใช้ที่ร้าน ซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ขนมเวเฟอร์นี้จะได้รับความนิยมจนทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 500%
ในไม่ช้า พวกเขาก็ตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตเวเฟอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตเวเฟอร์ได้กว่า 40,000 ชิ้นต่อวัน โรงงานของพวกเขาไม่เหมือนใคร เพราะพวกเขายังยึดมั่นในจุดเด่นของร้านที่ได้กลายเป็นคำขวัญเด็ดของแบรนด์ที่ว่า ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติผลิตขึ้นในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
พวกเขาจึงเลือกตั้งโรงงานบนที่ราบสูงใน Auna di Sotto ของ Renon (เรนอน) ซึ่งอยู่ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม มีทั้งอากาศและน้ำที่บริสุทธิ์ตามสิ่งที่ยึดมั่นมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน
เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าการผลิตขนมที่ดีจะต้องอยู่ในธรรมชาติที่ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้น โรงงานของ Loacker จะต้องอยู่ในที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในที่แห่งนั้นด้วย
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแบรนด์ Loacker ถึงอยู่มาได้ยาวนานเกือบ 100 ปี เพราะสำหรับผู้บริโภคแล้ว คงจะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ารสชาติและคุณภาพของขนมที่ทำให้เราอยากกลับมาซื้อขนมชิ้นนี้ซ้ำ ๆ นั่นเอง
เคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์ Loacker ที่เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ สู่ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่
จากวันนั้นถึงวันนี้ Loacker เป็นแบรนด์ที่ครองใจผู้คนทั่วโลก ได้รับการยอมรับว่าเป็นเวเฟอร์พรีเมียมอันดับ 1 จากอิตาลี ที่มียอดขายมากกว่า 1 หมื่นล้านบาททั่วโลกในแต่ละปี รวมทั้งยังเป็นแบรนด์ที่มียอดขายอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในประเทศอิตาลีอีกด้วย
ซึ่งเบื้องหลังความอร่อยของ Loacker ที่ทำให้เป็นอันดับหนึ่งมาได้อย่างยาวนาน นั่นก็คือ คุณภาพของสินค้าและความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้งของโรงงานไปจนถึงการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
โดยโรงงานของ Loacker ทุกที่จะตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร เพื่อให้มีอากาศแห้งและมีความชื้นต่ำ ตอบโจทย์การผลิตแผ่นเวเฟอร์ให้อร่อยตามสูตรต้นตำรับของ Loacker ที่สามารถคงความกรอบได้ยาวนาน
นอกจากนี้ Loacker ยังเป็นขนมที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติไหน Loacker ก็ยังคงรสชาติเข้มข้นและคัดวัตถุดิบมาจากแหล่งขึ้นชื่อย่างพิถีพิถัน อย่างเช่น เฮเซลนัตจากอิตาลี โกโก้จากเอกวาดอร์ วานิลลาจากฝักวานิลลาแท้ของมาดากัสการ์ หรือชาเขียวจากญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไปในที่สุด
Loacker ยังคงเป็นธุรกิจของครอบครัว
ปัจจุบัน Loacker บริหารโดยเจเนอเรชันรุ่นที่สาม Andreas (อันเดรียส) และ Martin Loacker (มาร์ติน ล็อคเกอร์) ลูกชายของ Armin และ Ulrich Zuenelli (อูลริช ซูเอเนลลี) หลานชายของเขา ซึ่งทั้ง 3 คนยังคงยึดมั่นในปรัชญาและความตั้งใจเดิมเหมือนกับตอนที่ก่อตั้งในปี 1925
ทำให้ Loacker เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นจากหัวใจและการยึดมั่นในคุณค่าเหล่านี้ จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปีที่แล้ว ปี 2022 Loacker มีการส่งออกผลิตภัณฑ์คิดเป็นเงิน 236.83 ล้านยูโร และมียอดขายปลีกทั้งหมด 8.19 ล้านยูโร โดยมี 5 อันดับแรกของประเทศที่มีผลประกอบการสูงสุด ดังนี้ อิตาลี ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา อิสราเอล และจีน
Loacker แบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง
Loacker มักจะคิดคำนึงว่า ทุก ๆ การตัดสินใจ ทุก ๆ การกระทำต้องมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มีผลน้อยที่สุด Loacker จึงสนับสนุนชาวไร่โกโก้และวานิลลาในหมู่บ้านห่างไกลในมาดากัสการ์ เอกวาดอร์ และไอวอรีโคสต์ โดยจัดหาสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่ยุติธรรม
นอกจากนี้ Loacker ยังดำเนินกิจการโดยใช้ไฟฟ้าสีเขียว 100% ในโรงงาน และในปี 2021 ทางแบรนด์ลดพลาสติกในบรรจุภัณฑ์ลงโดยเฉลี่ย 15% รวมไปถึงใช้รถบรรทุกเชื้อเพลิง LNG ในการขนส่งกว่า 50% เพื่อลดการเผาไหม้ของก๊าซธรรมชาติ ซึ่งในอนาคต Loacker ยังวางแผนดูแลสิ่งแวดล้อมและมีแผนจัดการในโรงงานให้มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนมากขึ้นต่อไป
Loacker เวเฟอร์สุดคลาสสิกที่มีมากกว่าคำว่าอร่อย
แม้ Loacker จะเป็นเวเฟอร์ที่มีตำนานความอร่อยที่คงอยู่มานานเกือบ 100 ปี จนกลายเป็นของรับประทานเล่นอันดับต้น ๆ ในใจของทุกคน แต่ Loacker ก็ยังคงพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างตรงจุด ทั้งในเรื่องการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้มีความอร่อยเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยการลดปริมาณน้ำตาลลงแล้วหันมาเน้นในเรื่องความเข้มข้นของวัตถุดิบระดับพรีเมียมแทน
นอกจากการพัฒนารสชาติแล้ว Loacker ยังได้ปรับแพ็กเกจจิ้งให้มีดีไซน์ใหม่ที่สดใสกว่าเดิม และเป็นวัสดุที่ช่วยลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกได้ถึง 15% แต่ยังคงเก็บรักษาคุณภาพความกรอบอร่อยของเวเฟอร์ได้อย่างยาวนานเหมือนเดิมอีกด้วย
บทสรุป
กว่า 90 ปีที่ผ่านมา Loacker ได้กลายเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งเป็นที่นิยมในกว่า 100 ประเทศ มียอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกปี และยังคงดำเนินไปตามแนวทางของตัวเองเสมอมา พร้อมกับพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ที่มา:
https://www.loacker.com/int/en/
https://en.wikipedia.org/wiki/Loacker
https://www.eataly.com/us_en/magazine/eataly-stories/discover-loacker/
https://packmedia.net/market/loacker-pure-goodness-also-terms-revenues
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



