ในอดีตกาลจีนเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้าผ่านเส้นทางสายไหม โดยเส้นทางสายไหมของจีน (Silk Road) เป็นเครือข่ายการค้าและวัฒนธรรมโบราณที่เชื่อมต่อจีนกับทวีปยุโรปและเอเชียตะวันตก เส้นทางสายไหมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาล-220 ปีคริสตกาล) และเส้นทางสายไหมก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลากว่า 1,500 ปี

เส้นทางสายไหมมี 2 เส้นทางหลัก ได้แก่ เส้นทางสายไหมทางบกและเส้นทางสายไหมทางทะเล

เส้นทางสายไหมทางบก เริ่มต้นจากเมืองฉางอัน เมืองหลวงของจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ผ่านเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก และยุโรป

เส้นทางสายไหมทางบกเป็นเส้นทางที่ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าและผู้คนเป็นหลัก สินค้าที่นิยมขนส่ง ได้แก่ ผ้าไหม ชา เครื่องเทศ และสินค้าอื่น ๆ เส้นทางสายไหมทางทะเล เริ่มต้นจากเมืองฉางอัน ผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง เส้นทางสายไหมทางทะเลเป็นเส้นทางที่ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าเป็นหลัก สินค้าที่นิยมขนส่ง ได้แก่ ผ้าไหม เครื่องเทศ และสินค้าอื่น ๆ

เส้นทางสายไหมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภูมิภาคต่าง ๆ เส้นทางสายไหมช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้า ผู้คน และวัฒนธรรมระหว่างจีนกับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เส้นทางสายไหมยังช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมจีนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก

เส้นทางสายไหมเสื่อมถอยลงในช่วงศตวรรษที่ 15 เนื่องจากปัจจัยหลายประการ อย่างการค้นพบเส้นทางเดินเรือใหม่ การล่มสลายของราชวงศ์มองโกล และสงครามระหว่างรัฐต่าง ๆ ในเอเชียกลาง

ที่มาของโครงการ China Belt Road

เวลาผ่านไปนับพันปีบัดนี้ผู้นำที่เข้มแข็งของจีน อย่างสี จิ้นผิง กำลังนำเอาเหล้าเก่ามาบรรจุลงขวดใหม่อีกครั้งภายใต้ชื่อโครงการ One Belt Road (OBOR) หรือโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของจีนที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 65 ประเทศในเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นสองเส้นทางหลัก ได้แก่ เส้นทางสายไหมทางบก (Silk Road Economic Belt) และเส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road)

 

 ที่มา: wikipedia

โครงการ China Belt Road หรือโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 เริ่มต้นขึ้นในปี 2013 โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับโลกของจีนที่มุ่งเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งกับนานาประเทศ ครอบคลุมกว่า 80 ประเทศทั่วโลกทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา

ที่มาของโครงการนี้สืบเนื่องมาจากความเจริญรุ่งเรืองของจีนในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้จีนมีความต้องการที่จะขยายอิทธิพลและบทบาทของตนบนเวทีโลก โดยโครงการนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

โครงการนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่

  • หนึ่งแถบ (One Belt) หรือ แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมใหม่ (New Silk Road Economic Belt) เป็นการเชื่อมโยงเส้นทางบกจากจีนไปยัง 6 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เอเชียใต้ และยุโรป
  • หนึ่งเส้นทาง (One Road) หนึ่งเส้นทาง หรือ เส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 (21st Century Maritime Silk Road) เป็นเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมจีนกับประเทศในมหาสมุทรต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

โครงการนี้ได้รับการตอบรับจากนานาประเทศเป็นอย่างดี โดยหลายประเทศได้เข้าร่วมโครงการนี้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจของตน อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังก่อให้เกิดข้อกังวลบางประการ เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน

โดยสรุปแล้ว โครงการ China Belt Road เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับโลกของจีนที่มุ่งเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งกับนานาประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อแผ่ขยายอิทธิพลและบทบาทของจีนบนเวทีโลก

ทำไมจีนต้องทำโครงการ One Belt Road

จีนริเริ่มโครงการ One Belt Road (OBOR) หรือโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ดังนี้

1. เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โครงการ OBOR มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ และเครือข่ายโทรคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของจีนกับเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคต่างๆ เข้าด้วยกัน โครงการนี้คาดว่าจะเพิ่มการค้าโลกและการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI)

2. เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน โครงการ OBOR คาดว่าจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับจีน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โครงการนี้จะช่วยให้จีนสามารถขยายตลาดและเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบใหม่ ๆ

3. เพื่อส่งเสริมอิทธิพลของจีนในเวทีโลก โครงการ OBOR เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของจีนในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก โครงการนี้คาดว่าจะเพิ่มอิทธิพลของจีนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

นอกจากวัตถุประสงค์หลักข้างต้นแล้ว โครงการ OBOR ยังมีวัตถุประสงค์รองอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

ผู้นำตะวันตกที่อ่านเกมออก

ก่อนที่โครงการ One Belt Road จะถือกำเนิดขึ้น สี จิ้นผิง เคยกล่าวสุนทรพจน์เอาไว้เมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 2013 ที่ประเทศคาซัคสถานว่าเขากำลังคิดถึงการเผยแพร่ความเป็นจีนอย่างเป็นรูปธรรมไปสู่ทั่วโลก ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยจีนเป็นผู้ให้เงินกู้และการลงทุนโดยมีจีนเป็นเจ้าของเงินลงทุนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องที่เขาพูดจะกลายมาเป็นจริง

สี จิ้นผิง พูดถึงการสร้าง “แถบเศรษฐกิจ” ตามแนว “เส้นทางสายไหม” อย่างเช่นในสมัยโบราณกาลที่เชื่อมจีน ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับยุโรป โดยประธานาธิบดีของจีนอยากให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น รวมถึงลดอุปสรรคทางการค้า

ในช่วงเวลาอีกไม่นานจีนกำลังจะเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของโครงการ One Belt Road โดยที่พวกเขาต้องการให้โครงการนี้กลับมาอยู่ในกระแสความสนใจอีกครั้ง จีนใช้วิธีการประโคมข่าว PR และเปิดตัวชื่อใหม่ของโครงการ One Belt Road (OBR) เป็น Belt and Road Initiative (BRI)

จีนบอกว่าโครงการ BRI สร้างงานไปแล้วกว่า 420,000 ตำแหน่งในกว่า 65 ประเทศ และผู้คน 40 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนด้วยการเติบโตที่เกิดจากโครงการ BRI อเมริกาและพันธมิตรหลายประเทศมองว่า BRI คือเครื่องมือทางการเมืองของจีนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากต่างประเทศเกี่ยวกับนโยบายด้านการต่างประเทศ

ในบรรดาประเทศผู้นำโลกการที่จะทำโครงการ BRI ไม่ได้ช่วยคลายความวิตกกังวลในเรื่องอิทธิพลจีนเหนือประเทศยากจนแต่อย่างใด และไฮไลท์ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่หลายฝ่ายจับตามองคือการประชุม Belt and Road Forum ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มีผู้นำโลกหลายคนได้รับเชิญ แต่สื่อคาดการณ์ว่าผู้นำจากชาติตะวันตกไม่น่าจะมีใครเข้าร่วม

ส่วนคนที่สื่อจับตามองว่าจะมาแน่นอน คือ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย การปรากฏตัวของเขาร่วมกับนายสี จะตอกย้ำให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้นำหลายคนในโลกตะวันตกคิดและไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ว่าจีนนั้นจับมือกับรัสเซียในฐานะที่เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ

ในการเตรียมความพร้อมของงาน จีนกำลังทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความสัมพันธ์กับ 1 ในสมาชิกกลุ่มประเทศ G7 ที่เหลือเพียงประเทศเดียวที่อาจจะเอาด้วยกับจีน นั่นก็คือ อิตาลี (เพราะอิตาลีได้ลงนามเห็นชอบในโครงการนี้)  เพราะตอนนี้ก็สุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่อิตาลีจะไม่เอาด้วย เนื่องจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป โดยนาย อันโตนิโอ ทาจานี รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี ที่เพิ่งไปเยือนกรุงปักกิ่ง และเปรย ๆ ว่า “ประเทศของเขาอาจถอนตัวออกจากโครงการนี้”

นอกจากกระแสข่าวลือว่าอิตาลีจะถอนตัวแล้ว จีนอาจต้องเผชิญข่าวว่าจะมีอีกหลายประเทศตะวันตกพากันบอยคอตโครงการ BRI มากขึ้น  ในการประชุมของกลุ่ม G20 ที่กรุงเดลีในวันที่ 9 และ 10 กันยายน 2023 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เสนอวิสัยทัศน์ซึ่งเป็นทางเลือกในการช่วยเหลือประเทศยากจนด้วยการเพิ่มบทบาทของธนาคารโลกและ IMF มากขึ้น เพื่อกันไม่ให้ประเทศที่ยากจนต้องไปกู้ยืมเงินจากจีนและต้องตกเป็นเบี้ยล่างของจีน

One Belt One Road เปรียบเสมือนคำจำกัดความสั้น ๆ ของเส้นทางสายเศรษฐกิจที่มีจีนเป็นศูนย์กลางปรากฏเป็นโครงการที่กว้างใหญ่และซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายประเทศ ทำให้จีนเปลี่ยนชื่อให้หลุดพ้นจากเงาของ “เส้นทางสายไหม” ในปี 2015 กลายมาเป็น BRI ในที่สุด

จีนได้ใช้ช่องว่างทางเศรษฐกิจเข้าประชิดกับบางประเทศในสหภาพยุโรป สมาชิก EU  18 จาก 27 ประเทศในสหภาพยุโรปได้ลงนามใน BRI หนึ่งในนั้นคือ กรีซ ซึ่งเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจล่มสลายในปี 2009 ก็ได้จีนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

ในปี 2008 Cosco ซึ่งเป็นบริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่ของจีน ได้บรรลุข้อตกลงในการเช่าท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ 2 แห่งที่ Piraeus ซึ่งเป็นท่าเรือหลักของกรีซที่อยู่ชานเมืองเอเธนส์ ในปี 2559 กรีซ ภายใต้แรงกดดันจากผู้ช่วยเหลือทางการเงินในสหภาพยุโรปและ IMF ในการสร้างเงินทุนโดยการแปรรูปทรัพย์สินของรัฐ ก็ได้ตัดสินใจที่จะขายหุ้น 51% ให้กับ Cosco และนี่นับเป็นครั้งแรกที่ท่าเรือในยุโรปจะถูกควบคุมโดยบริษัทจีน ที่จีนมีอำนาจในการบริหารแบบเกือบจะเบ็ดเสร็จ โดยต่อมาในปี 2021 Cosco ก็ได้ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 16% แปลว่า Cosco แทบจะเป็นเจ้าของท่าเรือสำคัญของกรีซไปแล้ว

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทัศนคติของหลายประเทศในยุโรปที่มีต่อจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากสหภาพยุโรปได้มีการเข้มงวดในการคัดกรองการลงทุนจากต่างประเทศสำหรับความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นได้

โดยในตอนนี้มีโครงการจาก BRI เพียงไม่กี่โครงการเท่านั้นในยุโรป หนึ่งในนั้นคือการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างฮังการีกับเซอร์เบีย โดยได้รับทุนเป็นเงินกู้จากจีน ความหวังสูงสุดของจีนคือการเชื่อมโยง 2 ประเทศดังกล่าวกับท่าเรือ Piraeus แต่มาซิโดเนียเหนือ กับกรีซ ยังคิดหนักอยู่ว่าจะเอาอย่างไรถ้าจีนมาทาบทามเรื่องการขอเข้าไปลงทุน

 

การให้ที่มีเงื่อนไข

แนวคิดเบื้องหลังของโครงการ Belt Road Initiative นั้นมีกระแสต่อต้านจากกลุ่มประเทศตะวันตกอยู่บ้าง เพราะว่าถึงแม้ฉากหน้าจีนอาจจะให้เงินกู้ยืมแก่ประเทศที่ยากจน หรือไม่ก็เข้าไปลงทุนในประเทศที่ขาดแคลนเงินลงทุน ซึ่งภาพฉากหน้าดูเหมือนจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ และทำให้ฐานะของประเทศยากจนดีขึ้น ซึ่งก็มีส่วนถูกอยู่บ้างในเรื่องเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่มีหรือที่จีนลงทุนไปแล้วจะไม่หวังสิ่งตอบแทน?

แน่นอนว่าจีนมีเงื่อนไขต่างตอบแทนแนบท้ายที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ BRI ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้กับจีน เช่น จีนอาจต้องการสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศนั้น ๆ หรือจีนอาจต้องการสิทธิในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศนั้น ๆ เป็นต้น

เงื่อนไขต่างตอบแทนที่แนบท้ายเหล่านี้ทำให้เกิดข้อกังวลจากหลายฝ่ายว่า จีนกำลังใช้โครงการ BRI เพื่อเป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพลและอำนาจทางเศรษฐกิจของตน ตัวอย่างเช่น โครงการ Belt and Road Initiative ของจีนในศรีลังกา ทำให้เกิดหนี้สินจำนวนมากให้กับศรีลังกา ซึ่งส่งผลให้ศรีลังกาต้องตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และท้ายที่สุดแล้วจีนก็ได้เข้ามาควบคุมท่าเรือ Hambantota ของศรีลังกา

อย่างไรก็ตาม จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่า โครงการ BRI นั้นมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ เป็นหลัก และจีนไม่ได้ต้องการใช้โครงการนี้เพื่อขยายอิทธิพลของตน

ตัวอย่างของเงื่อนไขต่างตอบแทนที่แนบท้ายในโครงการ BRI ของจีน

  • สิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น โครงการ Belt and Road Initiative ของจีนในคองโก จีนได้ให้เงินกู้ยืมแก่คองโกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและพลังงาน แลกกับสิทธิในการเข้าถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ของคองโก
  • สิทธิในการเข้าไปดำเนินธุรกิจ ตัวอย่างเช่น โครงการ Belt and Road Initiative ของจีนในเวียดนาม จีนได้เข้าไปลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของเวียดนาม แลกกับสิทธิในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในเวียดนาม
  • สิทธิในการส่งคนงานและแรงงาน ตัวอย่างเช่น โครงการ Belt and Road Initiative ของจีนในปากีสถาน จีนได้เข้าไปลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของปากีสถาน แลกกับสิทธิในการส่งคนงานและแรงงานจีนเข้าไปทำงานในปากีสถาน

เงื่อนไขต่างตอบแทนที่แนบท้ายเหล่านี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงหลายประการต่อประเทศที่เข้าร่วมโครงการ BRI ของจีน ตัวอย่างเช่น ประเทศเหล่านั้นอาจต้องตกอยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว หรือประเทศเหล่านั้นอาจสูญเสียการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของตนไป

จีนยินดีที่จะปล่อยกู้ให้กับประเทศยากจนแต่ก็มีเงื่อนไขที่รัดกุม เช่น  เครดิตส่วนใหญ่ที่จีนปล่อยให้ประเทศต่าง ๆ จึงมีเงื่อนไขแนบท้ายอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในหัวข้อก่อนนี้

เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของชาติตะวันตกบางคนบอกว่าจีนได้วาง “กับดักหนี้” เอาไว้เพื่อดักประเทศบางประเทศที่มองแค่เรื่องเงิน แต่ไม่ได้ประเมินศักยภาพในการใช้หนี้ของตัวเอง โดยเมื่อผู้กู้ผิดนัดชำระ จีนสามารถดึงสัมปทาน เช่น การเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศมาเป็นของจีนได้

ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงเป็นตัวอย่าง คือเรื่องการเข้าซื้อกิจการของบริษัทจีนแห่งหนึ่งในเมืองฮัมบันโตตา ประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นท่าเรือที่จีนเข้าครอบครองกิจการเมื่อปี 2017 หลังจากที่รัฐบาลของศรีลังกาต้องต่อสู้กับหนี้สินจำนวนมากแต่ก็ไม่ไหวที่จะใช้หนี้คืน

แต่ธนาคารของจีนกลับละเลยความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ด้วยการให้กู้ยืมโดยไม่มีการประเมินความเสี่ยงที่เหมาะสม ตอนนี้พวกเขาต้องการให้ผู้กู้ยืมรอดมากกว่าที่จะไปบี้เอาเงินคืนจนผู้กู้ไม่ไหว

ตามรายงานของ AidData กลุ่มวิจัยของอเมริกา ระหว่างปี 2016 ถึง 2021 ธนาคารของจีนขยายสินเชื่อช่วยเหลือประเทศยากจนไปกว่า 185,000 ล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าในปี 2010 จำนวนน้อยกว่า 5% ของเงินให้กู้ยืมของจีนในต่างประเทศสนับสนุนประเทศผู้กู้ยืมที่กำลังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ

และภายในปี 2021 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 60% ธนาคารของจีนค่อนข้างเข้มงวดเกี่ยวกับการกู้ยืมประเภทนี้เช่นกัน AidData ระบุว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ช่วยเหลือจาก IMF โดยทั่วไปอยู่ที่ 2% ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่จีนให้กู้ยืมเงินช่วยเหลือสูงกว่า IMF ถึงเท่าตัว โดยอยู่ที่ 5%

จีนอาจจะกำลังได้รับบทเรียนเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ ในปี 2016 จีนปล่อยกู้ให้ต่างชาติน้อยลง ตามรายงานของ Rhodium Group ระบุว่า “ธนาคารขนาดใหญ่ของจีนกำลังประเมินแนวทางปฏิบัติในการปล่อยสินเชื่อของตนใหม่ หลังจากที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่” รายงานระบุว่า ในปี 2020 การให้กู้ยืมของจีนแก่รัฐบาลแอฟริกามีมูลค่าน้อยกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่จีนปล่อยกู้ให้แอฟริกาต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004

จีนเริ่มแตะเบรกการขยายอำนาจโครงการ BRI ไปในหลาย ๆ ส่วนของโลกด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่จีนจะผลักดันแนวคิดนี้ต่อไปในสวนหลังบ้านของตนเอง สถาบันการศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ หรือ The International Institute for Strategic Studies (IISS) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในลอนดอน กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ “ไม่มีภูมิภาคใดที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์มากไปกว่านี้แล้ว”

สำหรับจีน ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับชาติตะวันตก จีนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้น “จีนต้องการใช้โครงการ BRI เพื่อสร้างตลาดทางเลือกสำหรับสินค้าและการเชื่อมโยงทางเลือกในห่วงโซ่อุปทาน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน ดังนั้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเครือข่ายดังกล่าว

ที่มา: Coucil Foreign Relation

การดำเนินการที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดำเนินไปอย่างมีนัยสำคัญ อย่างในปี 2021 จีนได้ดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งใช้งบประมาณเกือบ 6,000 ล้านดอลลาร์ เชื่อมต่อเมืองคุนหมิงของจีนกับเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว หนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย เส้นทางดังกล่าวมีระยะทางกว่า 422 กิโลเมตรในประเทศลาว

และรัฐบาลลาวได้เปิดให้ประชาชนใช้บริการรถไฟความเร็วสูงในเดือนเมษายน ผู้โดยสารเริ่มใช้เส้นทางนี้ การเดินทางจากเวียงจันทน์ไปยังชายแดนจีนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหลุมเป็นบ่อ ตอนนี้ใช้เวลาเดินทางเพียง 3.5 ชั่วโมงเท่านั้น เกษตรกรลาวเริ่มปลูกพืชมูลค่าสูง เช่น ทุเรียน เพื่อขายให้จีนและส่งออกผ่านทางรถไฟ

แต่ผลสำรวจชี้ว่าในประเทศต่าง ๆ รอบ ๆ จีน ระมัดระวังอิทธิพลของจีนมากขึ้น เพราะพวกเขามองว่าจีนกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเหนือประเทศอื่น ๆ มากจนเกินไป  ในการสนทนาในเวียงจันทน์ นักวิเคราะห์ลาวมักวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของตนว่าล้มเหลวในการดึงผลประโยชน์จากโครงการของจีน พวกเขากล่าวว่าลาวใช้จ่ายไปกับการบริหารหนี้มากจนละเลยความต้องการที่สำคัญ เช่น การศึกษา

ลาวมีหนี้สินล้นพ้นตัว ณ สิ้นปี 2022 ลาวเป็นหนี้เจ้าหนี้ต่างประเทศจำนวน 10,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 84% ของจีดีพี เงินประมาณครึ่งหนึ่งถูกยืมมาจากจีน เมื่อปีที่แล้วทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศของลาวลดลงต่ำมากจนต้องดิ้นรนเพื่อซื้อเชื้อเพลิง หน่วยงานจัดอันดับเครดิตเตือนว่าลาวใกล้จะผิดนัดชำระหนี้แล้ว ซึ่งจีนอนุญาตให้ลาวเลื่อนการชำระหนี้ได้แต่แลกกับทรัพยากรทางธรรมชาติบางอย่าง

จีนมองว่าทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวเป็นขาหนึ่งของเส้นทางเครือข่ายทางรถไฟที่ยาวกว่านั้นมาก ซึ่งหวังว่าจะเชื่อมโยงคุนหมิงกับสิงคโปร์ได้ในที่สุด สำหรับจีน ความสำเร็จของการสร้างทางรถไฟสายดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของประชากรลาวจำนวน 7.5 ล้านคน

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงผ่านประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ประชากรร่ำรวยกว่าลาว และมีประชากรมากกว่าลาวถึง 10 เท่า การสร้างทางรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทยตอนนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง แม้ว่าการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จทั่วทั้งภูมิภาคจะต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมืองที่ยุ่งวุ่นวายในประเทศไทยและมาเลเซีย รวมถึงการเจรจาที่ยากลำบากเกี่ยวกับเงื่อนไขของโครงการ (ประเทศลาวค่อนข้างจะดำเนินไปอย่างสบาย ๆ) และความระวังในหมู่สมาชิกสภานิติบัญญัติของไทยและมาเลย์เกี่ยวกับการดึงจีนเข้ามาในกิจการภายในประเทศมากจนเกินไป

โครงการ Belt Road Initiatve ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจีนจะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าความทะเยอทะยานของผู้นำจีน จะต้องผลักดันให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ และมันจะสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลให้กับบรรดาประเทศในตะวันตก

อ้างอิง

https://www.economist.com/china/2023/09/06/the-path-ahead-for-chinas-belt-and-road-initiative

https://en.wikipedia.org/wiki/Belt_and_Road_Initiative



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online