นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) เป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดียมาแล้วเป็นเวลาถึง 9 ปี เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงว่ามีความเก่งกาจเรื่องเศรษฐกิจมาก ที่ผ่านมานายเรนทรา โมดี เป็นผู้นำที่ชอบทำอะไรแบบเซอร์ไพรส์ ๆ เสมอ อย่างในปี 2016 นายกรัฐมนตรีอินเดียเคยประกาศว่าธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี ซึ่งคิดเป็น 86% ของมูลค่าเงินสดทั้งหมดที่มีอยู่ในอินเดียจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายภายในสิ้นคืนวันที่ประกาศ
และในปี 2020 เขาเคยประกาศปิดประเทศโดยแจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่นโยบายจะมีผลบังคับใช้ เช่นกันกับในครั้งนี้ หนึ่งในข่าวครึกโครมระดับนานาชาติ คือ เรื่องที่อินเดียจะเปลี่ยนชื่อประเทศไปใช้ Bharat
ในการประชุม G20 ที่กรุงนิวเดลี ในหนังสือเชิญผู้นำ G20 ร่วมรับประทานอาหารค่ำในระหว่างการประชุม มีการเขียนตำแหน่งของนางเทราปที มูรมุ (Draupadi Murmu) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดียว่า President of Bharat แทนที่จะเขียนว่า President of India
ป้ายชื่อประเทศอินเดีย ที่เปลี่ยนเป็น Bharat ในการประชุม G20 2023 ที่อินเดียเป็นเจ้าภาพ ที่มา: NDTV
สาธารณรัฐอินเดียมีชื่อในภาษาฮินดีตามรัฐธรรมนูญของอินเดียมาตรา 1 ว่า Bharat (ภารัต) การเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการจากอินเดียไปเป็นภารัตจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนต้องติดตามการประชุมสมัยวิสามัญของรัฐสภาอินเดียระหว่าง 18-22 กันยายน 2023 มีแนวโน้มว่านายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียอาจจะเสนอมติให้เปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ
ถามว่าถ้าอินเดียจะเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเรื่องที่แปลกไหม ก็ไม่ มีหลายประเทศที่เคยประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศตัวเองมาแล้ว ไม่นานมานี้ ตุรกี เปลี่ยนเป็น ตุรเคีย จาก พม่า เป็น เมียนมา แต่ว่ากันว่า เรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเพียง หินก้อนแรก ที่นายกอินเดียโยนเพื่อถามทางไปสู่การนำนโยบาย One India มาใช้ มองเผิน ๆ อาจจะเป็นเหมือนนโยบายทางยุทธศาสตร์อันหนึ่งที่อินเดียประกาศอยากจะไปให้ถึง แต่ไส้ในกลับมีอะไรมากกว่านั้น วันนี้เราชวนคุณผู้อ่านมาดูว่านโยบายนี้เป็นอย่างไร และจะส่งผลอย่างไรถ้ามีการนำมาใช้จริง ๆ
One India
นโยบาย One India เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี มุ่งเน้นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวอินเดีย โดยให้ความสำคัญกับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของอินเดีย
ต้องเล่าเท้าความนิดหนึ่งว่ารัฐธรรมนูญของอินเดียให้เอกราชแก่รัฐต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงขนาดและความหลากหลายของอินเดีย การปฏิรูปที่กำลังพิจารณานั้นไม่ชัดเจนแต่มีความละเอียดอ่อน โดยประสานการเลือกตั้งของรัฐกับการเลือกตั้งระดับชาติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุการณ์เดียวกันทุก ๆ 5 ปีเมื่อมีการลงคะแนนเสียงของอินเดีย สัปดาห์หน้า นายโมดีจะจัดการประชุมรัฐสภาสมัยพิเศษที่ไม่ปกติ สามารถใช้เพื่อพัฒนาแนวคิดนี้ได้ เมื่อวันที่ 1 กันยายนเขาได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของการเลือกตั้งแบบครั้งเดียวรวมกันทั้งประเทศ (คล้ายไทย)
เป้าหมายของโปรเจกต์ “One India” ในหลาย ๆ มิติก็ดูสมเหตุสมผล เหตุผลหนึ่งที่คอยฉุดให้เศรษฐกิจของอินเดียตกต่ำ โดยมีกลไกตลาดท้องถิ่นและภาษีซับซ้อนมากมาย นายกฯ นเรนทราเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้นับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2014 โดยแทนที่ภาษีท้องถิ่นจำนวนมากด้วยภาษีสินค้าและบริการระดับชาติ (GST)
ถ้ามองในด้านดีนโยบาย One India ช่วยส่งเสริมด้านต่าง ๆ ดังนี้
- ส่งเสริมความสามัคคีของชาวอินเดียทุกเชื้อชาติ ศาสนา และภาษา
- ส่งเสริมการศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของอินเดีย
- ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
- ส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
นโยบาย One India ได้รับเสียงสนับสนุนจากชาวอินเดียจำนวนมาก เนื่องจากช่วยให้ประชาชนชาวอินเดียตระหนักถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มชนกลุ่มน้อยในอินเดีย เนื่องจากมองว่านโยบายนี้เป็นการส่งเสริมชาตินิยมฮินดูมากเกินไป
นโยบาย One India ถูกนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมผ่านหลายโครงการ เช่น
- One India One Tax (GST) เป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเดียวที่ใช้บังคับทั่วประเทศอินเดีย แทนที่ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีการขายหลายประเภทที่บังคับใช้โดยรัฐและรัฐบาลกลาง
- One India One Uniform เป็นโครงการที่มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความสามัคคีทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม โดยกำหนดให้นักเรียนในโรงเรียนของรัฐสวมเครื่องแบบเดียวกัน
- One India One Ration Card เป็นโครงการที่มุ่งเน้นไปที่การลดความยากจนและส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม โดยให้บัตรสวัสดิการอาหารเพียงประเภทเดียวที่สามารถใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาถูกได้ทั่วประเทศ
นอกจากโครงการเหล่านี้แล้วยังมีโครงการอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ One India One Nation อีกมากมาย เช่น
- One India One Election เป็นโครงการที่มุ่งเน้นไปที่การลดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยกำหนดให้การเลือกตั้งทั่วไปจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ
- One India One Language เป็นโครงการที่มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมภาษาฮินดีให้เป็นภาษากลางของประเทศอินเดีย
- One India One Infrastructure เป็นโครงการที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอินเดีย เช่น ถนน รถไฟ และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ
โครงการ One India One Nation ได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศอินเดีย แต่อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีจุดอ่อนอยู่ในหลายเรื่อง อย่างเช่น โครงการเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของรัฐ และอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาของอินเดีย
ภาพประกอบโฆษณา One India One Election ที่ต้องการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งในอินเดียเป็นเลือกตั้งใหญ่ครั้งเดียว ที่มา Indiaobserve
ขัดแย้งมากกว่ารวมกัน
นับตั้งแต่พรรค Bharatiya Janata Party (ฺBJP อ่านว่า ภารตีย ชนตา ปารฺตี หรือ พรรคประชาชนอินเดีย) ขึ้นสู่อำนาจในปี 2014 BJP ก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงอินเดียให้กลายเป็นรัฐชาติเหมือนกับในสหภาพยุโรปมากขึ้น วิสัยทัศน์ของพรรคเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐบาลกลางและการส่งเสริมอัตลักษณ์ของอินเดียและชาตินิยมฮินดู
รัฐบาลเน้นย้ำอยู่เป็นประจำว่าอินเดียเป็น One Nation หรือ “รวมกันเป็นชาติเดียวกัน” รัฐบาลดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์นี้ อย่าง One Nation One Ration Card (ONORC) เป็นโครงการของรัฐบาลอินเดียที่มุ่งเน้นการปฏิรูประบบบัตรสวัสดิการอาหารของประเทศอินเดีย ปัจจุบันระบบบัตรสวัสดิการอาหารของอินเดียมีบัตรสวัสดิการอาหารที่แตกต่างกันหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีขอบเขตการได้รับสิทธิที่แตกต่างกัน เช่น บัตรสวัสดิการอาหารสำหรับผู้สูงอายุ บัตรสวัสดิการอาหารสำหรับเด็ก บัตรสวัสดิการอาหารสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และบัตรสวัสดิการอาหารสำหรับครอบครัวยากจน
ระบบบัตรสวัสดิการอาหารแบบปัจจุบันก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ เช่น บัตรสวัสดิการอาหารแบบเดิมถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่ท้องถิ่น ทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการอาหารต้องเดินทางไกลเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาถูก บัตรสวัสดิการอาหารแบบเดิมยังถูกนำไปใช้เพื่อการค้าสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างไม่ถูกต้อง
โครงการ ONORC มุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยให้บัตรสวัสดิการอาหารเพียงประเภทเดียวที่สามารถใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาถูกได้ทั่วประเทศ
ในด้านเศรษฐกิจ แนวโน้มการรวมศูนย์ของรัฐบาลเป็นเรื่องที่น่ายินดี ในปี 2017 นายกอินเดียได้ประกาศใช้นโยบายภาษีสินค้าและบริการระดับชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบาย One Nation, One Tax หรือ “หนึ่งประเทศ หนึ่งภาษี” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ GST (Goods and Services Tax) เป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเดียวที่ใช้บังคับทั่วประเทศอินเดีย แทนที่ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีการขายหลายประเภทที่บังคับใช้โดยรัฐและรัฐบาลกลางโดยภายหลังการประกาศใช้ดูเหมือนว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี
ในช่วงปี 2017-18 ถึง 2020-21 มูลค่าการค้าระหว่างรัฐ (อินเดียปกครองแยกกันเป็นรัฐๆ) เพิ่มขึ้น +44% ซึ่งมากกว่าการเติบโตของ GDP รวมของประเทศถึง 2 เท่า จากการศึกษาของ Indian Public Policy Review ระบุว่าการเพิ่มขึ้นของ GST ส่งผลให้เกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น
ไม่เพียงแต่นโยบายที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่รัฐบาลอินเดียยังเร่งสร้างทางหลวง เปิดใช้สนามบินใหม่ และเปิดตัวบริการรถไฟเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของชาวอินเดียให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น การเปิดตัวระบบระบุตัวตนดิจิทัลแห่งชาติ (National Digital Identity System) และการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาช่วยบรรเทาปัญหาที่บางครั้งสร้างความปวดหัวให้กับชาวอินเดียที่เดินทางออกนอกภูมิภาคของตน และยังทำให้การสร้างธุรกิจที่ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นเรื่องง่ายขึ้น
เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลอินเดียมีความสนใจที่จะสร้างตลาดเดี่ยวที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่วาทกรรม “One Nation” อันเคร่งครัดของรัฐบาลกำลังทำให้ความสัมพันธ์อื่น ๆ บางอย่างต้องพังทลายลง อย่างเช่นการแบ่งอินเดียออกเป็น 2 ฝั่ง ระหว่างซีกตอนใต้ที่เจริญรุ่งเรืองทางอุตสาหกรรม และตอนเหนือที่ยากจนทางเกษตรกรรม
อินเดียใต้ประกอบด้วย 5 รัฐสำคัญ ได้แก่ อานธรประเทศ (Andhra Pradesh) กรณาฏกะ (Karnataka) เกรละ (Kerala) ทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) และเตลังคานา (Telangana)
ส่วนอินเดียเหนือนั้นมีรัฐทั้งหมดด้วยกัน 10 รัฐ ได้แก่ จัณฑีครณ์ (Chandigarh) เดลี (Delhi) หรยาณา (Haryana) หิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) ชัมมูและกัศมีร์ (Jammu and Kashmir) ปัญจาบ (Punjab) ราชสถาน (Rajasthan) อุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand) อุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) และ ลาดักห์ (Ladakh)
จากข้อมูลระบุว่า ตอนใต้ของอินเดียนั้นประชากรมีความร่ำรวยกว่า สถานที่ปลอดภัยกว่า และมีสุขภาพดีกว่า มีการศึกษาดีกว่า และมีความเลวร้ายต่อผู้หญิงและดาลิตน้อยกว่าทางเหนือ (ดาลิต (Dalit) ชนกลุ่มน้อยในประเทศอินเดีย มักตกเป็นเหยื่อของการแบ่งแยกทางวรรณะมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ดาลิตถือเป็นวรรณะต่ำสุดในระบบวรรณะฮินดู และต้องเผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติและการกดขี่อย่างต่อเนื่อง)
ในช่วงเวลาของการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดในปี 2011 แคว้นมคธมีประชากรราว 25% ของอินเดีย โดยอีก 21% เป็นจำนวนประชากรทางตอนใต้ ช่องว่างได้เติบโตขึ้น การประเมินอย่างเป็นทางการล่าสุดระบุว่าในปี 2022 และแคว้นมคธมีประชากรอินเดีย 26% ในขณะที่ส่วนแบ่งทางใต้ลดลงเหลือ 19.5%
ภาวะเศรษฐกิจระหว่างอินเดียเหนือและใต้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง GDP ต่อหัวในภาคใต้สูงกว่าในตอนเหนือถึง 4.2 เท่า และยังเป็นการเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงปี 2011 – 2012 ที่อยู่ที่ 3.3 เท่า รัฐทางตอนใต้ของอินเดียจ่ายภาษีคิดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้ภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้ของอินเดีย เทียบกับเพียง 3% สำหรับรัฐทางตอนเหนือและแคว้นพิหาร (แคว้นที่ยากจนที่สุดของอินเดีย) และเมื่อบริษัทระดับโลกหันหัวเรือมายังอินเดีย แน่นอนว่าพวกเขามุ่งลงใต้มากกว่าที่จะขึ้นเหนือ อย่างเช่น Apple เองก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของคนงานที่มีทักษะและกลุ่มอุตสาหกรรม
เสียงไม่พอใจของคนทางใต้
ในทางการเมือง รัฐทางเหนือและใต้ ก็มีเรื่องการเมืองการปกครองที่แตกต่างกันสุดขั้ว จากข้อมูลพบว่าไม่มีรัฐใดในภาคใต้ที่พรรค BJP จะสามารถเข้าไปนั่งในใจประชาชนได้เลย เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่าคนในรัฐทางใต้มองว่า BJP เป็นพรรคของรัฐทางเหนือเพราะพวกเขา (รัฐทางเหนือ) พูดภาษาฮินดี และ กรณาฏกะ เป็นรัฐทางตอนใต้เพียงรัฐเดียวที่ BJP สามารถเอาชนะในการเลือกตั้งได้
ความแตกต่างในระดับภูมิภาคกำลังก่อให้เกิดความตึงเครียดใน 3 ด้านใหญ่ ได้แก่ วัฒนธรรม การเงินการคลัง และการเมือง
- เริ่มต้นด้วยด้านวัฒนธรรม ประชาชนในรัฐทางใต้ของอินเดีย มีความไม่พอใจมาอย่างยาวนานแล้วกับสิ่งที่พวกเขามองว่า “เป็นการยัดเยียดค่านิยมและภาษาจากทางเหนือ” เหตุการณ์นี้มีจุดเริ่มต้นในปี 2019 Amit Shah รัฐมนตรีมหาดไทยของอินเดียทวีตข้อความว่า “หากภาษาหนึ่งสามารถทำงานเพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ภาษานั้นก็จะเป็นภาษาที่พูดมากที่สุด นั่นคือภาษาฮินดี”
พอนาย Amit ทวีตข้อความออกไปสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอินเดียใต้เป็นอย่างมากจนเกิดการประท้วงปะทุขึ้นทั่วภาคใต้ และแม้แต่พันธมิตรของ BJP ในภูมิภาคก็ยังแสดงความไม่เกี่ยวข้องกับกับความคิดเห็นของนาย Amit
- Srinivasan จากคณะกรรมการวางแผนแห่งรัฐทมิฬนาฑู (รัฐทางใต้) อธิบายว่า “มันไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น (ทวิตของนาย Amit) ผู้ปกป้องภาษาทางใต้ยังเชื่อว่าพวกเขากำลังปกป้องอัตลักษณ์ทางการเมืองในวงกว้าง ซึ่งสนับสนุนความยุติธรรมทางสังคม ความเท่าเทียมทางเพศ และการหลุดพ้นจากอคติทางชนชั้น”
- ส่วนในด้านการคลัง มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับข้อตกลงทางการเงินของอินเดียเกิดขึ้นจำนวนมาก แม้ว่ารัฐบาลกลางจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้ดี แต่รัฐบาลก็ใช้จ่ายไปมากเช่นกัน พูดง่าย ๆ ว่าหาได้มากแต่ก็ใช้ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่สำคัญ เช่น การศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการ
การนำนโยบาย GST มาใช้เหมือนเป็นการลดทอนความแข็งแกร่งทางด้านการหารายได้ของรัฐอ่อนแอลง ในปี 2021-2022 การใช้จ่ายของรัฐแต่ละรัฐคิดเป็น 64% ของรายจ่ายสาธารณะ แต่รัฐต่าง ๆ ในอินเดียกลับหารายได้เข้ารัฐได้เพียง 38% เท่านั้น นั่นแปลว่า ‘ติดลบ’ เป็นผลให้รัฐต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลกลางมากขึ้นกว่าที่เคย และจำนวนเงินว่ารัฐแต่ละรัฐจะได้เท่าไรจะได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการการคลังทุก ๆ 5 ปี
และสิ่งที่แต่ละรัฐได้รับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรการต่าง ๆ เช่น ประชากรและระดับการพัฒนา เป็นผลให้รัฐทางใต้ได้รับเงินจากรัฐบาลกลาง “น้อยกว่า” ที่พวกเขาจ่ายให้ประเทศเสียอีก แน่นอนว่าพวกเขาไม่พอใจ เพราะเมื่อรัฐได้รายได้จากทางใต้มากแต่ทำไมให้การสนับสนุนน้อย กลับกันรัฐทางเหนือที่ไม่ค่อยสร้างผลิตภาพกลับได้รับการช่วยเหลือมาก
แน่นอนว่าการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างเท่าเทียมกันทุกรัฐทั่วประเทศเป็นหน้าที่และธรรมาภิบาลของรัฐบาลกลาง และยังถือเป็นพันธผูกพันตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงปรากฏในหมู่ประชาชนชาวอินเดียมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องที่ว่า “เมื่อเศรษฐกิจของแต่ละรัฐมีความแตกต่างกันแล้วรัฐบาลจะจัดสรรความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างไร” ความกังวลในเรื่องนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเท่าในปลายปีนี้ เมื่อคณะกรรมการทางการเงินชุดถัดไปเริ่มพิจารณาว่าจะแบ่งปันรายได้ในช่วงปี 2027-2032 อย่างไร
- ในด้านการเมือง ความตึงเครียดในข้อนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่อันตรายที่สุดเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนทางการเมืองของประเทศ ปกติแล้วในรัฐธรรมนูญของอินเดียจะกำหนดให้มีการจัดสรรที่นั่งในรัฐสภาตามจำนวนประชากรตามแต่ละรัฐ โดยมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่ากันโดยประมาณในแต่ละเขตเลือกตั้ง และดำเนินการกำหนดเขตใหม่หลังการสำรวจสำมะโนประชากรทุกครั้ง
แต่ในปี 1976 รัฐบาลเลิกใช้การแบ่งเขตการเลือกตั้งของอินเดียเป็นเวลา 25 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษรัฐที่ประสบความสำเร็จด้วยนโยบายการวางแผนครอบครัว ในปี 2002 รัฐบาล BJP เลื่อนการยกเลิกการแบ่งเขตการเลือกตั้งออกไปจนถึงปี 2026 ทำให้ส่วนแบ่งประชากรของอินเดียตอนใต้ลดลง 5 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่นั้นมา ในขณะที่ประชากรทางเหนือและพิหารเพิ่มขึ้นขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์
ผลก็คือการจัดสรรที่นั่งในสภาที่ผิดเพี้ยนไปจากความน่าจะเป็น ถ้ายึดตามการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2011 จากการคำนวณของ Milan Vaishnav และ Jamie Hintson จาก Carnegie Endowment เพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ระบุว่า จริง ๆ รัฐทางใต้ควรจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) น้อยกว่าจำนวนที่นั่งในปัจจุบัน (129 ที่นั่ง) 18 ที่นั่ง จากจำนวน ส.ส. ทั้งหมดในสภาจำนวน 545 ที่นั่ง
ส่วน ส.ส. ที่เป็นตัวแทนจากรัฐทางเหนือควรมี ส.ส. เพิ่มอีก 14 ที่นั่งจากจำนวนปัจจุบันที่มีอยู่ 120 ที่นั่ง
ข้อโต้แย้งทางรัฐธรรมนูญและศีลธรรมที่สนับสนุนการแบ่งเขตใหม่นั้นชัดเจน แต่การแบ่งแยกประเทศให้เป็น 2 ฝั่ง ในทางปฏิบัติรัฐทางตอนใต้จะมีขนาดใหญ่กว่าทางตอนเหนือ และถ้าหากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่า “นี่คือจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของอินเดียในฐานะประเทศ”
พูดถึงการเลือกตั้งในอินเดีย การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งล่าสุดของอินเดียเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายนถึง 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 โดยพรรคภารตียชนตา (BJP) นำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 282 ที่นั่งจากทั้งหมด 543 ที่นั่ง
ทีนี้ตัวนายกฯ นเรนทรา อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดย
- เปลี่ยนระบบการลงคะแนนจากระบบการลงคะแนนหลายเสียง (First-past-the-post) เป็นระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วน (Proportional representation) โดยระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนจะคำนวณคะแนนเสียงที่ได้รับมาของแต่ละพรรคการเมือง และจัดสรรที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรตามคะแนนเสียงที่ได้รับมา
- เปลี่ยนระบบการคัดเลือกผู้สมัครจากระบบที่พรรคการเมืองเป็นผู้คัดเลือก เป็นระบบที่ประชาชนเป็นผู้คัดเลือก โดยระบบที่ประชาชนเป็นผู้คัดเลือกจะเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกผู้สมัครที่ตนต้องการ
- เพิ่มจำนวนสตรีในสภาผู้แทนราษฎร โดยปัจจุบันมีสตรีในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 14% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด นายเรนทรา โมดี ต้องการให้สตรีมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จึงต้องการเพิ่มจำนวนสตรีในสภาผู้แทนราษฎร
- ปฏิรูประบบพรรคการเมือง โดยนายเรนทรา โมดี ต้องการให้พรรคการเมืองมีความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบต่อประชาชนมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ นายเรนทรา โมดี มองว่าจะช่วยให้กระบวนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมและมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมืองมากขึ้น
แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาอินเดีย จึงทำให้นายเรนทรา โมดี ยังคงต้องทำงานร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ๆ เพื่อผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้น
นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะยังคงชื่อ อินเดีย หรือ ภารัต เมื่อ 9 ปีที่แล้ว นาย Modi และพรรคของเขาได้เป้าหมายหลายอย่างในช่วงที่เขาครองอำนาจอยู่
ตั้งแต่การอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับชื่อเสียงของประเทศให้อยู่ในสายตาของผู้นำโลก ไปจนถึงการยกเลิกสถานะพิเศษตามรัฐธรรมนูญของรัฐชัมมูและกัศมีร์ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม รวมไปถึงการสร้างวัดของพระเจ้ารามในเมืองทางตอนเหนือของอโยธยา
การประชุมสมัยวิสามัญของรัฐสภาอินเดียระหว่าง 18-22 กันยายน 2023 มีแนวโน้มว่านาย นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย อาจจะเสนอมติให้เปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ รวมถึงอาจหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งพร้อมกัน (คำมั่นสัญญาเก่า) หรือเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดโดยสิ้นเชิง และไม่ว่าวาระหารือจะเป็นเรื่องอะไรแต่สิ่งที่นายกฯ นเรนทราต้องรักษาไว้ให้ดีคือต้องระวังอย่าให้อินเดียถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ขั้ว
*เสริมความเข้าใจเรื่องการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในอินเดีย
ปกติแล้วการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอินเดียจัดขึ้นทุก ๆ 5 ปี โดยประชาชนจะเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (Lok Sabha) ทั้งหมด 543 คนจาก 29 รัฐ และ 7 ดินแดนสหภาพ พรรคการเมืองที่มีที่นั่งมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรจะได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำพรรคการเมืองนั้น
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอินเดียใช้ระบบการลงคะแนนหลายเสียง (First-past-the-post) กล่าวคือ ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในเขตเลือกตั้งจะได้รับที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอินเดียมักจะมีการแข่งขันที่สูสี เนื่องจากประเทศอินเดียมีพรรคการเมืองจำนวนมาก และพรรคการเมืองแต่ละพรรคมีฐานเสียงที่แตกต่างกันไป
ในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งล่าสุดในปี 2019 พรรคภารตียชนตา (BJP) ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 282 ที่นั่งจากทั้งหมด 543 ที่นั่ง ทำให้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้
แน่นอนว่าการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอินเดียเป็นเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองของอินเดียและชาวโลกจับตามอง เพราะเป็นการเลือกตั้งผู้นำของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
อ้างอิง
https://www.economist.com/asia/2023/09/13/narendra-modi-is-widening-indias-fierce-regional-divides
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ