คำว่า “โลกาภิวัตน์” มีการพูดกันครั้งแรกในทศวรรษ 1990 รัฐบาลหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายการควบคุมการเดินทาง การลงทุน และการค้า ในปี 2001 จีนเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งขับเคลื่อนการค้าระหว่างเอเชียกับตะวันตก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ลดความยากจนและความไม่เท่าเทียมกัน และมาพร้อมกับเสรีภาพทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก
แต่การที่โลกแห่งเศรษฐกิจมีการเชื่อมเข้าหากันก็นำมาซึ่งปัญหามากมายเช่นกัน และบางคนคิดว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2007-2009 จะกระตุ้นให้นักการเมืองต้องปฏิรูปวิธีการทำงานต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคการเงิน หลายคนเชื่อว่าวิกฤตดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอันตรายของตลาดทุนที่ไหลอย่างอิสระ นักการเมืองพูดคุยเกี่ยวกับการจำกัดการขยายตัวของที่อยู่อาศัย และการทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเพื่อควบคุมการเงิน โลกาภิวัตน์ชะลอตัว สหราชอาณาจักรโหวตให้ Brexit (ออกจากสหภาพยุโรป) จากนั้นอเมริกาและจีนก็เริ่มทำสงครามการค้า คิดดูว่าโลกของเราโกลาหลมากเพียงใด
เหตุการณ์ที่ช็อกเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ 4 ครั้งในช่วงหลังมานี้ทำให้หลายประเทศ (โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ) เริ่มทบทวนนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีรูปแบบโลกาภิวัตน์ คือ ต้องมีการพึ่งพาทรัพยากรจากต่างประเทศ โดยถ้านับเอาเหตุการณ์ที่สะเทือนต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกอย่างเหตุการณ์ช็อกครั้งแรกกับวิกฤตการเงินในปี 2007-2009 ที่ทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในรูปแบบเก่าไปจนหมดสิ้น
The Great Recession 2007-09: Federalreservehistory
ช็อกครั้งที่สองในปี 2020 กับวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก โดยในช่วงที่เกิดโรคระบาด ห่วงโซ่อุปทานทรุดตัวลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น การระบาดใหญ่ยังกระตุ้นให้ผู้คนเชื่อว่ารัฐบาลควรดำเนินการอะไรมากกว่านี้
Covid-19: Reuter
นอกจากนี้ ในเรื่องผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เองก็สะเทือนเศรษฐกิจโลกได้มากเช่นกัน เมื่ออเมริกาและจีนทะเลาะกันด้วยความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น มีการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย รัสเซียเปิดฉากสงครามที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่ปี 1945 ความคิดที่ว่าการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจจะนำไปสู่การรวมตัวทางการเมืองหายไปแล้ว
Russia-Ukrain War: Al-Jazeera
ช็อกครั้งที่สาม สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่นำไปสู่ความโกลาหลทางพลังงาน ไม่ใช่แค่ของยุโรปเท่านั้นแต่ปั่นป่วนไปทั้งโลก การใช้อาวุธไฮโดรคาร์บอนในประเทศของเขาเป็นอาวุธของวลาดิมีร์ ปูติน ทำให้นักการเมืองหลายคนเชื่อว่า พวกเขาต้องจัดหาทางเลือกอื่น ไม่ใช่แค่พลังงานแต่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มี “ยุทธศาสตร์” โดยทั่วไป
และครั้งที่สี่ การถือกำเนิดขึ้นของ Generative AI ที่โด่งดังเลยก็คือ ChatGPT ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อแรงงาน สิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเศรษฐกิจสมัยใหม่นั้นมีความซับซ้อนและพึ่งพาอาศัยผู้อื่น (ประเทศอื่น) ในสัดส่วนที่มาก
ChatGPT: Fox Business
นี่จึงเป็นที่มาของนโยบายเศรษฐกิจแบบ Homeland Economic ซึ่งเราได้หยิบยกมาเล่าให้คุณผู้อ่านได้รับรู้และเข้าใจผ่านตัวอักษรในบทความนี้ที่ทิศทางของเศรษฐกิจโลกกำลังจะเปลี่ยนไป “อีกครั้ง”
Homeland Economic คืออะไร
Homeland Economic หรือ นโยบายเศรษฐกิจแบบมาตุภูมิ คือ แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ มุ่งเน้นการลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดย ลดการพึ่งพาตลาดโลกและการลงทุนจากต่างประเทศ หันไป เน้นการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แทน
Homeland Economic มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศในโลกยุคใหม่ที่เศรษฐกิจระหว่างประเทศมีความซับซ้อนและผันผวน รวมถึงมีความไม่แน่นอนมากมายเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเน้นที่ประสิทธิภาพและราคาที่ต่ำ แต่หลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนและความไม่ยุติธรรมของระบบเศรษฐกิจแบบ Globalization โดยนโยบายเศรษฐกิจแบบ Homeland Economic จำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมโยงกับความมั่นคงของชาติและนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในขณะนั้น
ต้องบอกว่าตอนนี้รัฐบาลทั่วโลกกำลังเริ่มมีการนำนโยบาย Homeland Economic มาใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ประเทศสหภาพยุโรป จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ โดยรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศตนเองบรรลุเป้าหมายการเป็น Homeland Economic ให้ได้ ทั้งการใช้มาตรการทางภาษี เงินอุดหนุน และข้อกำหนดเกี่ยวกับการค้าภายในประเทศ
ทำไมประเทศใหญ่ ๆ จึงเริ่มคิดถึงการนำนโยบายเศรษฐกิจแบบ Homeland Economic มาใช้
จากวิกฤตเศรษฐกิจสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ประเทศที่อยู่ในวงแห่งผลกระทบต้องหันมาทบทวนสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและความเชื่อมโยงกันทางทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน และเทคโนโลยี ก่อให้เกิดเป็นนโยบายใหม่ที่พูดให้เข้าใจง่ายว่า “รักตัวเองมากขึ้น ดังนั้น ฉันจะสร้างมันด้วยมือของฉันเอง”
ว่าแต่อะไรเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาสนใจใช้นโยบายนี้
- วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เช่น วิกฤตการณ์การเงินโลกในปี 2008 และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงความขัดแย้งของรัสเซียกับยูเครน
- ความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงาน
- ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศที่เริ่มใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบ Homeland มีประเทศใดบ้าง
นโยบาย Homeland Economic เป็นนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยลดการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกและลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น สงคราม โรคระบาด และภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยรายละเอียดของนโยบายนี้มักเกี่ยวข้องกับมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการในการลดภาษี การอุดหนุนภาคการผลิต การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในประเทศ
ประเทศที่เริ่มใช้นโยบาย Homeland Economic ในปัจจุบัน ได้แก่
- สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศนโยบาย “Made in America” เพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศและลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีน
- สหราชอาณาจักร รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ประกาศนโยบาย “Global Britain” เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ
- จีน รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบาย “Dual Circulation” เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศและลดการพึ่งพาด้านการค้าจากสหรัฐอเมริกา
- ญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบาย “New Capitalism” เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศและลดความเหลื่อมล้ำ
- เกาหลีใต้ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศนโยบาย “New Deal” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและสร้างงานใหม่
สหรัฐอเมริกา: นโยบาย “A Future Made in America”
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในขณะประกาศนโยบาย A Future Made in America ในขณะที่เยี่ยมชมโรงงาน Siemens: NY1
นโยบาย A Future Made in America เป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นในปี 2021 เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในประเทศ นโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น
- การลดภาษีสำหรับธุรกิจที่ผลิตสินค้าในประเทศ
- การอุดหนุนภาคการผลิต
- การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา
- การจัดหาอุปทานในประเทศ
มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศและสร้างงานใหม่ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานใหม่ได้กว่า 2 ล้านตำแหน่ง
มาตรการสำคัญภายใต้นโยบาย A Future Made in America
- American Rescue Plan Act of 2021 กฎหมายฉบับนี้อนุมัติงบประมาณเงินมูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
- Infrastructure Investment and Jobs Act กฎหมายนี้อนุมัติเงินช่วยเหลือมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ถนน สะพาน รถไฟ และสายไฟ
- U.S. Innovation and Competition Act กฎหมายนี้มอบเงินช่วยเหลือมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
สหราชอาณาจักร: นโยบาย “Global Britain”
อดีตนายกรัฐมนตรี Boris Johnson ของอังกฤษ พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ของอินเดีย: Hindustantimes
นโยบาย Global Britain เป็นนโยบายต่างประเทศที่สหราชอาณาจักรประกาศขึ้นในปี 2019 เพื่อส่งเสริมบทบาทของสหราชอาณาจักรในโลกหลัง Brexit โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Boris Johnson นโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่การทำให้สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีความสำคัญระดับโลก ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
- ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก
- การลงทุนในการศึกษาและการฝึกอบรม
- การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
มาตรการสำคัญภายใต้นโยบาย Global Britain
- Brexit สหราชอาณาจักรถอนตัวจากสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2020
- Free Trade Agreement with Australia สหราชอาณาจักรลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2022
- Free Trade Agreement with New Zealand สหราชอาณาจักรลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีกับนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2022
จีน: นโยบาย “Dual Circulation”
แผนภาพวงกลมซ้อนทับกันของระบบเศรษฐกิจแบบคู่ขนานของจีน: ScotiabankEconomics
หลังการประชุมใหญ่ครั้งที่ 5 ของคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ในช่วงปี 2020 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีการนำเสนอผลงานการบริหารประเทศในช่วงที่ผ่านมาต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการได้มีการพิจารณาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 5 ปี (2021-2025) ครั้งที่ 14 และวางเป้าหมายไปจนถึงปี 2035
ในที่ประชุมมีการกล่าวถึงคำว่า Dual Circulation หรือ ยุทธศาสตร์วงจรคู่ขนาน ซึ่งเป็นแผนการพัฒนา และหนทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนมากขึ้นของจีนในระยะข้างหน้า อันที่จริงแล้ว ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เปิดแผนยุทธศาสตร์นี้ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2020 โดยให้ความสำคัญกับหลักการ ‘การหมุนเวียนภายในประเทศ (Internal Circulation)’ เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในประเทศ และลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศเป็นแกนหลัก
โดยจีนตั้งเป้าหมายในระยะยาวที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ และลดความเสี่ยงจากการต้องพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นมาตรการส่งเสริมการลงทุนไปที่ 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ
- การยกระดับมาตรฐานการผลิต
- การส่งเสริมนวัตกรรม
กลยุทธ์ Dual Circulation มุ่งเน้นการสร้างความยืดหยุ่นในส่วนของอุปทานการผลิตเป็นหลัก (Resilience) ให้สามารถต้านทานปัจจัยความไม่แน่นอนจากภายนอกได้มากขึ้น โดย Resilience หมายถึงการฟื้นตัวได้เมื่อเจออุปสรรคและวิกฤต
มาตรการสำคัญภายใต้นโยบาย Dual Circulation
- Investment in domestic consumption รัฐบาลจีนได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เช่น การลดภาษีสำหรับสินค้าและบริการ การขยายการเข้าถึงสินเชื่อ และการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล
- Development of domestic industries รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนแก่ธุรกิจในประเทศในสาขาต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี การผลิต และบริการ
- Increased self-reliance รัฐบาลจีนมุ่งมั่นที่จะลดการพึ่งพาสินค้าและบริการจากต่างประเทศ
ญี่ปุ่น: นโยบาย “New Capitalism”
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น ผู้ริเริ่มนโยบาย New Capitalism หรือ ทุนนิยมใหม่: The Japan Times
นโยบาย New Capitalism เป็นนโยบายเศรษฐกิจที่นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่นประกาศขึ้นในปี พ.ศ. 2565 เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจญี่ปุ่นและสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนและเท่าเทียมกัน นโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่การปฏิรูประบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
- การปฏิรูปตลาดแรงงาน ด้วยการเพิ่มอัตราการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการทำงานแบบยืดหยุ่น การลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน และการพัฒนาทักษะแรงงาน
- การปฏิรูประบบภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และการเพิ่มภาษีมรดก
- การปฏิรูประบบสวัสดิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การขยายสวัสดิการสังคม การปรับปรุงคุณภาพสวัสดิการสังคม และการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสวัสดิการ
- การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
เกาหลีใต้: นโยบาย “New Deal”
ประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ ในขณะที่ประกาศทำนโยบาย Homeland Economic ผ่านนโยบาย “New Deal”: Koreatimes
เกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มุ่งมั่นประกาศใช้นโยบาย “New Deal” เพื่อช่วยประเทศเอาชนะวิกฤตโควิด-19 และเตรียมพร้อมสู่ยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการใช้เงินลงทุนกว่า 160 ล้านล้านวอน หรือราว 4.24 ล้านล้านบาท ในการพัฒนา 3 ด้าน เพื่อให้เกิดการจ้างแรงงาน 1.9 ล้านตำแหน่ง
- การอัดฉีดเงินทุนเพื่อกระตุ้นการลงทุน
- การลดภาษีและค่าธรรมเนียม
- การสนับสนุนการจ้างงาน
มาตรการสำคัญภายใต้นโยบาย New Deal ของเกาหลีใต้
- โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงมูลค่า 2.2 ล้านล้านวอน
- โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 1.1 ล้านล้านวอน
- โครงการก่อสร้างระบบขนส่งสาธารณะมูลค่า 4.5 ล้านล้านวอน
- โครงการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมูลค่า 1.5 ล้านล้านวอน
- โครงการฝึกอบรมแรงงานมูลค่า 2.5 ล้านล้านวอน
- โครงการเพิ่มการจ้างงานมูลค่า 1 ล้านล้านวอน
รัฐบาลเกาหลีใต้คาดว่านโยบาย New Deal จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและสร้างงานใหม่ได้กว่า 1 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030
นอกจากมาตรการสำคัญข้างต้นแล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้ดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อรองรับนโยบาย New Deal เช่น
- การปฏิรูประบบการศึกษาและการฝึกอบรมแรงงาน
- การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี
- การส่งเสริมการค้าเสรีและการลงทุนระหว่างประเทศ
ผลกระทบของการใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบ Homeland Economic
ผลกระทบโดยรวมของการใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบ Homeland Economic นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การออกแบบนโยบาย ระดับความเข้มข้นของนโยบาย และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบเชิงบวก
- ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและสร้างงาน เพราะ Homeland Economic มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการลงทุนในประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในประเทศ ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
- ลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ช่วยลดการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกและลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น สงคราม ความขัดแย้ง โรคระบาด และภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- เพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยให้ประเทศมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายนอก
ผลกระทบเชิงลบ
- นโยบายนี้อาจทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น เนื่องจากมีการลดภาษีหรืออุดหนุนภาคการผลิตในประเทศ ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตในประเทศมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงและสามารถส่งมอบสินค้าและบริการในราคาที่ถูกลงได้
- Homeland Economic อาจทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลง เนื่องจากมีการลดการพึ่งพาเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศลดลง
- Homeland Economic อาจนำไปสู่การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากมีการลดภาษีหรืออุดหนุนภาคการผลิตในประเทศ ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตจากต่างประเทศได้ยากขึ้น
โลกของเราเริ่มใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบ Globalization ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 จากการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตและเครื่องบินเจ็ต เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการเดินทางและการค้าระหว่างประเทศ ทำให้การเคลื่อนย้ายของสินค้า บริการ เงินทุน และผู้คนข้ามพรมแดนเป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้น
และคงเป็นอีกครั้งที่ต้องบอกว่าเทรนด์นโยบายโลกกำลังเริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง และการเปลี่ยนครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็น Homeland Economic เพราะปัจจัยต่าง ๆ มากระทบทำให้แต่ละประเทศต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้กับตัวเอง โดยพยายามลดการพึ่งพาการค้าต่างประเทศให้น้อยที่สุด เพื่อให้ประเทศของตัวเองยืนได้ด้วยขาของตัวเอง
แต่ยังคงแง้มประตูสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อเสริมให้คนในประเทศมีงานทำและมีเงินหมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้น ต้องตามต่อว่าหลังจากที่หลายประเทศเริ่มหันมาใช้นโยบาย Homeland แล้วจะประสบความสำเร็จ หรือทำให้ประชาชนต้องพบเจอกับความยากลำบาก
อ้างอิง
https://www.economist.com/special-report/2023/10/02/homeland-economics-will-make-the-world-poorer
https://www.bangkokbanksme.com/en/south-korea-promotes-new-deal-policy-to-revive-economy
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/business-maker/china_dual_circulation.html
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ