สิงห์ เอสเตท ปี 2567 เตรียมเปิด 4 โครงการบ้าน ลักชัวรี ทั้งแนวราบ คอนโดฯ ลุยปั้นพอร์ตโรงแรมโลคอลแบรนด์รองรับขยายตัว ปรับอาคารสำนักงานให้เช่าตอบโจทย์เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ ทำมาร์เก็ตติ้งเต็มสูบหน่วยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เป้ารับรู้รายได้รวมทั้งปี 1.8 หมื่นล้านบาท โต 20%
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ปี 2566 ประเทศไทยและทั่วโลกยังไม่ฟื้นตัวดีจากวิกฤตโรคระบาดในทุกภาคธุรกิจ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยแต่ละธุรกิจเริ่มทยอยเปิดสวิตช์กันได้อีกครั้งตามบุคลิกของตัวเอง และหลายธุรกิจก็ยังไม่กลับมาเหมือนปี 2562 (ก่อนโควิด-19)
สืบเนื่องมายังหน่วยธุรกิจของบริษัทฯ ก็ค่อย ๆ เริ่มกลับมาฟื้นตัวตามปกติ ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อาทิ ได้เปิดตัวโครงการบ้านแนวราบครบทุกเซกเมนต์ ลักชัวรี, ขยายสัดส่วนการถือครองโครงการคอนโดมิเนียม รับการฟื้นตัวของความต้องการในกลุ่ม Ready-to-move-in ของตลาด
ธุรกิจโรงแรม เปิดตัว SO/Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับ 5 ดาวในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ เมื่อเดือน พ.ย. 2566 รองรับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในพื้นที่
ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า มีการปรับโมเดลธุรกิจให้มีความยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้พื้นที่ของคนทำงานยุคนิวนอร์มอล และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง พัฒนาระบบสาธารณูปโภคจนแล้วเสร็จทั้งหมด
โดยทุกมูฟเมนต์เป็นไปเพื่อรองรับการดำเนินงานในปี 2567 ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% หรือรวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงาน แจกแจงตามสัดส่วนเป้ารายได้ของแต่ละหน่วยธุรกิจ
- ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) เป้ารายได้ 60%
ตลอดการดำเนินงานจนเข้าสู่ปีที่ 10 ของบริษัทฯ พอร์ตโรงแรมมีทั้งแบรนด์ที่เข้าไปรับช่วงบริหาร และโลคอลแบรนด์อย่าง SAii (ทราย) หลังจากนี้บริษัทฯ จะมุ่งไปที่การสร้างการรับรู้แบรนด์ SAii ให้เติบโตมากขึ้น รองรับการขยายตัวต่อไปในอนาคต
ส่วนการดำเนินงานในภาพรวม ต่อเนื่องจากปี 2565-66 บริษัทฯ ยังคงปรับปรุงเครือโรงแรมในพอร์ตรวม 5 ประเทศ ไทย, มัลดีฟส์, มอริเชียส, สหราชอาณาจักร, หมู่เกาะฟิจิ
อาทิ รีโนเวต, ขยายห้องพัก จนสามารถเพิ่มผลประกอบการกลับมาได้ตามเป้า และตั้งเป้าปี 2567 จะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ในพอร์ตโรงแรมได้มากกว่า 25%
รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) เพื่อสร้างรายได้ในส่วนนี้ที่จะเกิดขึ้นภายในโรงแรม เพิ่มขึ้นให้ได้ 15%
ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง มองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจเพื่อให้เกิดการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องขึ้นด้วย
โครงการบ้านแนวราบเซกเมนต์อัลตรา ลักชัวรี SMYTH’S Ramintra
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เป้ารายได้ 30%
บริษัทฯ เตรียมต่อยอดโครงการบ้านแนวราบครบทุกเซกเมนต์ ลักชัวรี ตั้งแต่ 20-500 ล้านบาทต่อหน่วย แบ่งไลน์โปรดักต์บ้านฯ เป็น อัลตรา ลักชัวรี (เกิน 100 ล้านบาทต่อหน่วย) ซึ่งดีมานด์ในกลุ่มเป้าหมายเติบโตอย่างดี, ซูเปอร์ ลักชัวรี (50-100 ล้านบาทต่อหน่วย), พรีเมียม ลักชัวรี (30 ล้านบาทขึ้นไปต่อหน่วย), ลักชัวรี (15 ล้านบาทขึ้นไปต่อหน่วย)
มูลค่าโครงการเปิดตัวใหม่ 4 โครงการ 9,400 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านแนวราบ 2 โครงการ แบรนด์ S’RIN โซนพรานนก, แบรนด์ SMYTH’S โซนเกษตร-นวมินทร์ ส่วนคอนโดมิเนียม 2 โครงการ โซนพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และศรีราชา ชลบุรี ติด ถ. สุขุมวิท ใกล้ รพ. สมเด็จ ซึ่งอยู่ในโรดแมปพัฒนาเป็นมิกซ์ยูส โดยโครงการส่วนใหญ่จะทยอยเปิดตัวไตรมาส 3-4/2567
บริษัทฯ จะยังให้ความสำคัญต่อการลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพ โดยปัจจุบันมีที่ดินเพียงพอรองรับการพัฒนาสำหรับโครงการลักชัวรีที่จะเกิดขึ้นในระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) ในปี 2567 เพิ่มขึ้นอีก 50% จากปีที่ผ่านมา
- ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า เป้ารายได้ 7%
พอร์ตธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าของบริษัทฯ ที่ดำเนินงานอยู่มี 3 อาคารขนาดใหญ่ ซันทาวเวอร์ส, สิงห์ คอมเพล็กซ์, เอส โอเอซิส และอาคารสำนักงาน ลักชัวรี เอส เมโทร
บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของอาคารต่าง ๆ
ตั้งเป้าให้ปี 2567 มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือข้างต้นมากกว่าในช่วงปี 2562 (ก่อนโควิด-19) ด้วยอัตราการเช่าฯ 85% ของพื้นที่ให้เช่ารวมทุกอาคารฯ 170,000 ตร.ม.
- ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เป้ารายได้ 3%
นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง พื้นที่ 2,000 ไร่ จัดสรร 50% สำหรับพื้นที่สาธารณูปโภค เพิ่งเสร็จสิ้นการดำเนินงานด้านกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำจืดขนาด 400 ไร่ แหล่งไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ และมีโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ภายใต้การเข้าถือหุ้น 30% ของ บมจ. บี. กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ผู้รับดำเนินงาน ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมสูงสุด 400 เมกะวัตต์
โดยจะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ยังจะเป็นแรงหนุนสำคัญในการดำเนินงานของบริษัทฯ
ซึ่งปี 2567 บริษัทฯ จะมุ่งโฟกัสการสร้างการรับรู้ในพื้นที่ขายสัดส่วน 50% อย่างเต็มที่ อาทิ ชูเรื่องทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง โดยตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมฯ อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม
อนึ่ง ตลอดปี 2567 บริษัทฯ ยังจะให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Go Beyond Dreams หรือสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ขยายการพัฒนาโครงการที่ไม่จำกัดอยู่เพียงโปรดักต์เอกเทศของแต่ละหน่วยธุรกิจ และรักษาการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง
การดำเนินงานด้านความยั่งยืน สิงห์ เอสเตท มุ่งสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 และใช้กลยุทธ์ Climate Resilience Model เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ความหลากหลายทางทะเลถึง 30%
นอกจากนี้ ยังมุ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านโครงการต่าง ๆ ถึงกว่า 30 โครงการ นับเป็นจำนวนมากกว่า 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่การดำเนินงาน 5 ประเทศในทุกหน่วยธุรกิจ ได้แก่ ไทย, มัลดีฟส์, มอริเชียส, สหราชอาณาจักร และ หมู่เกาะฟิจิ
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /


