หุ้นปุ้มปุ้ย ทำไมต้องออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ มาทำความเข้าใจเรื่องราวดราม่าของปลากระป๋องแบรนด์นี้กัน
ข่าวหุ้นปุ้มปุ้ยถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันพรุ่งนี้ (21 ก.พ.) อาจจะเป็นฝันร้ายของนักลงทุน
แต่ไม่ได้กระทบต่อผู้บริโภคทั่วไป
เพราะธุรกิจนี้ยังคงดำเนินกิจการเป็นปกติ ทุกคนสามารถซื้อหาปลากระป๋อง หอยลายผัดขี้เมา หอยลายผัดฉ่า หรือ สแน็กหอยลายอบกรอบที่กำลังขายดี และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายของแบรนด์ปลายิ้มที่มีความสุขนี้ต่อไป
เพียงแต่ถ้าเรื่องราวดราม่ายืดเยื้อระหว่างคนในครอบครัวไม่เกิด แบรนด์นี้คงไปได้ไกลกว่านี้มาก
รู้จัก ปุ้มปุ้ย แบรนด์แห่งรอยยิ้ม
1 พฤศจิกายน 2522 ตระกูลโตทับเที่ยง ได้ก่อตั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล ที่มี 2 ผลิตภัณฑ์หลักคือปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศฉลากสีส้ม และปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศฉลากสีชมพู ภายใต้แบรนด์ “ปุ้มปุ้ย” และ “ปลายิ้ม”
2 มิถุนายน 2538 เริ่มซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรก
21 กุมภาพันธ์ 2567 ถูกเพิกถอนหลักทรัพย์
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากงบการเงินของบริษัทปรากฏส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ และผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินประจำปี 2547-2549 ซึ่งแม้บริษัทจะดำเนินการให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมามีค่ามากกว่าศูนย์ และผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นต่องบการเงินได้ แต่บริษัทไม่สามารถดำเนินการให้มีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามหลักเกณฑ์ภายในระยะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาท่ามกลางการแข่งขันของ ธุรกิจปลากระป๋อง และวิกฤตโควิด-19 ผลิตภัณฑ์ของปุ้มปุ้ยยังคงขายดี ในปี 2562-2564 คือ รายได้ 1,372 ล้านบาท 1,547 ล้านบาท 1,605 ล้านบาท กำไร 23 ล้านบาท 41 ล้านบาท และ 33 ล้านบาท ตามลำดับ
ปี 2565 ยังคงขายดี รายได้ยังอยู่ที่ 1,468 ล้านบาท กำไร 13 ล้านบาท
จนล่าสุดช่วง 9 เดือนปี 2566 ของ บมจ. ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล รายได้รวมอยู่ที่ 900 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 125 ล้านบาท
ซึ่งผู้บริหารชุดปัจจุบันได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตัวเลขขาดทุนมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายลดลง ทำให้สินค้าบางรายการที่มูลค่าสูงและอัตรากำไรสูง เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์หอยกระป๋อง มียอดขายที่ลดลง
และมีผู้เล่นรายย่อยเข้ามาในตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขายออนไลน์ในราคาที่ต่ำมาก ส่งผลให้บริษัทเสียส่วนแบ่งการตลาดไป
และเกิดจากบริษัทไม่สามารถผลิตสินค้าที่เป็นความต้องการของตลาดสูง เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์หอยกระป๋อง ได้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งสินค้ากลุ่มหอยกระป๋องเป็นกลุ่มสินค้าที่มีราคาและอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ากลุ่มอื่น โดยสาเหตุเนื่องมาจากการขาดแคลนวัตถุดิบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
นอกจากนั้น ปีที่ผ่านมาค่าไฟที่เป็นต้นทุนการผลิตก็เพิ่ม รวมทั้งงบการตลาดเพื่อสื่อสารแบรนด์ถึงคนรุ่นใหม่ ๆ ก็ถูกใช้มากขึ้นเพื่อหวังผลในระยะยาว
ที่ผ่านมาปุ้มปุ้ยเป็นแบรนด์ปลากระป๋องที่ไม่เคยหยุดนิ่งและคิดค้นนวัตกรรรมใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
จาก 2 ผลิตภัณฑ์หลักเมื่อ 45 ปีก่อน ปัจจุบันบริษัทมีสินค้ามากกว่า 50 รายการ อาทิ กลุ่มปลาในซอสมะเขือเทศ กลุ่มปลาปรุงรส กลุ่มหอยปรุงรส กลุ่มอาหารพร้อมรับประทานในซองปิดผนึก เช่น แกงส้มปลามาฮิ มาฮิ ใส่ยอดมะพร้าว คั่วกลิ้งไก่ ไข่พะโล้ และกลุ่มสแน็กหอยลายอบกรอบ
ดราม่ามา เมื่อหนี้สะสม และพี่น้องทะเลาะกัน
แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้ไปได้ไม่สุดมาจาก 2 เรื่องหลัก คือ
1. ปัญหาการบริหารที่ทำให้เป็นหนี้สะสมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุควิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
2. ปัญหาความขัดแย้งของคนในตระกูลที่แบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่มคือ สุธรรม โตทับเที่ยง (พี่คนโต) ประธานกรรมการบริหารปัจจุบัน และสุรินทร์ โตทับเที่ยง (น้องชาย) ปัจจุบันคือผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้ง 2 กลุ่มต่างหาจังหวะเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัท ความไม่ปรองดองที่เกิดขึ้นทำให้การทำธุรกิจไม่คล่องตัว กระทบต่อการทำงานกลายเป็นหนี้สินเพิ่มขึ้นรุงรัง จนต้องมอบตัวเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการในปลายปี 2548
จนในที่สุดเกิดการฟ้องร้องกันเมื่อสุธรรม โตทับเที่ยง กับพวก 9 คน ยื่นฟ้องสุรินทร์กับพวก รวม 5 คน ต่อศาลแพ่งธนบุรี ข้อหา กรรมสิทธิ์รวมเรียกทรัพย์คืนขอแบ่งทรัพย์ (กงสี) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559
ในทรัพย์สินทั้งหมดสิ่งที่มีค่าที่สุดของพี่น้องตระกูลนี้ คือ บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ “ปุ้มปุ้ย”
จนในที่สุดมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินเมื่อปี 2564 และปัจจุบันปุ้มปุ้ยอยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัทกว้างไพศาล มีสุธรรม โตทับเที่ยง อายุ 76 ปี ซึ่งเป็นประธานกรรมการ
การออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันพรุ่งนี้ของ หุ้นปุ้มปุ้ย แม้จะต้อง “เสียหน้า” บ้าง แต่อาจจะไม่ “เสียท่า” เสียทีเดียวเพราะผู้บริหารกลุ่มนี้สามารถทำงานได้ง่ายและคล่องตัวขึ้น โดยความมุ่งมั่นที่ว่าจะบริหารเพื่อให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีกำไร สามารถชำระหนี้สินของบริษัทและสามารถคืนกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต
แต่สำหรับปัญหาการฟ้องร้องในการเรียกร้องสิทธิ์ในการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ก็ยังคงเป็นคลื่นใต้น้ำ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจของกลุ่มนี้ต่อไป
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
