I’ AURA ทำความรู้จักสกินแคร์แบรนด์ไทย รายได้ 100 ล้าน จากตลาดต่างประเทศ
จากนักศึกษาปี 3 ที่ประสบปัญหาหน้าเป็นสิวสเตียรอยด์ ค้นหาวิธีรักษาจนเจอครีมอโลเวร่า และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ “I’ AURA” (ไอออร่า) ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์จนมียอดขายกว่า 100 ล้านบาท
รีแคปสั้น ๆ ถึง ‘แอน รุจิรา มาน้อย’ ซีอีโอสกินแคร์แบรนด์ I’ AURA
แต่ทว่าเบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และมีรายละเอียดมากกว่านั้น
Marketeer อยากชวนคุณผู้อ่านมาทำความรู้จัก “แอน รุจิรา มาน้อย” กับเรื่องราวการสร้างแบรนด์ I’ AURA ที่เต็มไปด้วยความสนุกและแรงบันดาลใจ
ผุดธุรกิจ I’ AURA กับรายได้ปีแรกกว่า 30 ล้าน
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นการขายของออนไลน์ แอนที่ตอนนั้นกำลังเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 ไปพร้อม ๆ กับการทำงานพาร์ตไทม์และขายของออนไลน์เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน ในโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กเธอมีผู้ติดตามราว 10,000 คน ในยุคนั้นถือว่าเป็น Someone ที่มีคอมมูนิตี้พูดคุยกับแฟน ๆ และลูกค้าในเพจส่วนตัวของเธอเอง
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเธอประสบปัญหาหน้าเป็นสิวสเตียรอยด์ ที่เกิดจากการใช้ครีมที่มีสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน จนขาดความมั่นใจ เธอจึงไปเขียนระบายในเฟซบุ๊ก และมีคนมาแนะนำวิธีการต่าง ๆ นานา มีพี่คนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงาน OEM รับผลิตสกินแคร์ แนะนำให้เธอลองใช้ผลิตภัณฑ์เซรั่มจากว่านหางจระเข้ที่เป็นสูตรออแกนิก ปรากฏว่าได้ผลดี สิวเก่ายุบ สิวใหม่ไม่ขึ้น แอนได้เขียนรีวิวในหน้าเพจ ประกอบกับผู้ติดตามที่เห็นพัฒนาการการรักษาสิวของเธอที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โพสต์นั้นมียอดแชร์หลักพัน และมีคนติดต่อขอซื้อสินค้า เธอจึงเกิดไอเดียสร้างแบรนด์สกินแคร์ของตัวเอง คือแบรนด์ I’ AURA ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้ออแกนิกสำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย
ในช่วงเริ่มต้น แอนที่ไม่มีเงินทุน เธอจึงใช้รูปแบบเปิดรับพรีออเดอร์ ด้วยความที่มีฐานลูกค้าและได้รับความเชื่อถือพอสมควร ในบิลแรกเธอมียอดออเดอร์มากถึง 200 ชิ้น เมื่อสินค้ามีคุณภาพผลลัพธ์ที่ได้คือลูกค้าที่ซื้อไปกว่า 90% มีผิวหน้าที่ดีขึ้น ทำให้เกิดการบอกต่อ และตัวเจ้าของแบรนด์รู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ในตอนนั้นเป็นยุคทองของการขายของออนไลน์ทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากหลักหมื่นเป็นหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน แอนจึงเปิดบริษัท ไอออร่า เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด และเปิดรับตัวแทนจำหน่าย ไปพร้อม ๆ กับการขายปลีก
ในปีแรก I’ AURA กวาดรายได้ไปกว่า 30 ล้านบาท จากที่มี Product Hero อย่าง อโลเวร่าเจล (ALOE VERA GEL ORIGINAL) เพียงอย่างเดียว I’ AURA ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับรางวัลการันตีอีกมากมาย อาทิ Asean Plus Awards 2017, Top Brand Award 2018, HOSF 2023 และ ล่าสุด “THBA 2023 : THAILAND HEALTH AND BEAUTY AWARDS 2023” ในสาขา The Masterpiece Business of Skincare

ต่อยอดความรู้ ต่อยอดธุรกิจ
เมื่อธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด แอนเริ่มหาความรู้เพื่อพัฒนาตัวเองและพัฒนาแบรนด์ ผ่านการลงคอร์สเรียนด้านต่าง ๆ ทั้งบุคลิกภาพ การสื่อสาร การบริหารคน บริหารธุรกิจ ในช่วงปีแรกเธอบอกว่าใช้กำไรที่ได้มาไปกับการลงคอร์สเรียนต่าง ๆ และซื้อกล้องถ่ายรูปเพื่อถ่ายสินค้าแค่นั้น ที่เหลือคือเก็บเงินไว้ลงทุน
“จำได้ว่าลงเรียนคอร์สแรกใช้เงินไป 35,000 บาท ตอนนั้นถือว่าแพงมาก เพราะเราไม่เคยใช้จ่ายเงินเยอะขนาดนี้ จากนั้นก็เพิ่มค่าเรียนขึ้นเรื่อย ๆ บินไปเรียนที่ต่างประเทศก็มี อย่างการเรียน NLP (Neuro Linguistic Programming) เพราะเราไม่เคยบริหารคนมาก่อน ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่อง Mindset การใช้ภาษาและการสื่อสารที่ถูกต้อง เข้าใจคนทำงานมากขึ้น
“เราเอาความรู้ที่เรียนมาพัฒนาธุรกิจ รวมถึงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง และจากคนที่ทำธุรกิจอื่น ๆ เอามาวิเคราะห์ ปรับปรุงแบรนด์เราเสมอ ตรงนี้มันทำให้เราสามารถต่อยอดได้เรื่อย ๆ”

พลิกเกมบุกต่างประเทศ
I’ AURAเติบโตมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเจอกับยุคโควิด-19 ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนเกมอีกครั้ง
การตลาดในประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้ตัวแทนจำหน่ายหายไปพอสมควร อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดแข็งของสินค้าที่มีการรีวิวจากผู้ใช้ ทำให้ได้รับความสนใจจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา
I’ AURAหันมาทำตลาดที่ประเทศกัมพูชาอย่างจริงจัง แม้ยอดขายจะเติบโตและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่แอนบอกว่า ด้วยความที่ยังไม่มีประสบการณ์การบริหารธุรกิจในต่างประเทศ รู้จักตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคน้อยเกินไป ทำให้ยอดขายที่กัมพูชาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นั่นทำให้เธอหยุดพัก
ก่อนจะหันไปเห็นโอกาสอย่างยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าเมียนมาในประเทศ เธอจึงเริ่มศึกษาตลาดอย่างจริงจัง วางแผนกลยุทธ์ นำความสำเร็จและข้อผิดพลาดจากครั้งก่อนมาปรับใช้ และลุยตลาดเมียนมาอย่างเต็มตัว
“แอนใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาตลาดเมียนมา ในตอนนั้นเราไม่มี Role Model จึงต้องศึกษาและลงมือทำเองทั้งหมด ซึ่งเมียนมาเป็นตลาดใหม่ที่ผู้บริโภคมีความตื่นเต้นกับสินค้า และคนเมียนมาชื่นชอบแบรนด์ไทยมาก แต่ปีแรกก็เจอกับอุปสรรคพอสมควร เนื่องจากคนที่นั่นยังไม่รู้จักเรา มีทั้งโจมตีสินค้า จนถึงขั้นมีการทำเพจต่อต้าน หรือโดนยึดสินค้าก็มี
“ปัญหาที่เราเจอคือเรื่อง ความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่นในแบรนด์ ดังนั้น โจทย์ของเราคือทำอย่างไรให้คนเชื่อถือแบรนด์ ก็มองหาพันธมิตร จัดตั้งบริษัท หาพนักงาน และต้องสร้างความเชื่อถือให้ได้ ภายใน 1 ปีผู้บริโภคชาวเมียนมาต้องรู้จักแบรนด์เรา รู้จักซีอีโอI’ AURA
“และด้วยความตั้งใจที่จะทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์กับลูกค้าและตัวแทน สิ่งที่เราประกาศออกไป เช่น การจ่ายโบนัสตัวแทน เราทำจริง ทำให้คนเชื่อถือและอยากร่วมธุรกิจกับเรา จากคนที่เคยต่อต้าน ก็มีคนออกมาปกป้อง ทำให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

ปัจจุบัน I’ AURA มียอดขายจากตลาดเมียนมาถึง 90% โดยปีที่ผ่านมียอดขายกว่า 100 ล้านบาท และปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ 500 ล้านบาท จากการเพิ่มสินค้าใหม่ทั้งสกินแคร์และจะเพิ่มการทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
“เป้าหมายต่อไปของ I’ AURAคือตลาดจีน แอนเริ่มเรียนภาษาจีนก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อพูดคุยสื่อสารกับพันธมิตร ตัวแทน และลูกค้า และกำลังศึกษาตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ เตรียมไว้”
“ด้วยความที่แอนเองไม่มีต้นทุนที่เป็น “ตัวเงิน” สิ่งที่มองหาคือต้นทุนด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความชอบ ที่ทำแล้วแตกต่างจากคนอื่น ๆ และนำมาต่อยอด สร้างโอกาสให้ตัวเอง และสร้างให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้” แอน รุจิรา กล่าวทิ้งท้าย
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
