Trend / แม้เป็นประเทศเล็ก จำนวนประชากรก็อยู่ที่เพียงเกือบ 8 แสนคน แถมยังเป็นดินแดนปิด ถูกล้อมด้วยภูเขา และขนาบด้วยสองยักษ์เอเชียอย่างจีนและอินเดีย แต่ภูฏานก็พอมีชื่อเสียงบนเวทีโลกอยู่บ้างด้วยการใช้ความสุขเป็นนโยบายนำในการบริหารประเทศ
แก่นกลางของนโยบายดังกล่าวคือ ความสุขมวลรวมในประเทศ หรือ Gross National Happiness (GNH) ที่เริ่มใช้ในปี 2008 และเน้นเรื่องความพอเพียงและทางสายกลางเพื่อให้ชีวิตมีความสุข ซึ่งอิงจากหลักคำสอนศาสนาพุทธ
แม้ GNH ตรงข้ามกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ Gross Domestic Product (GDP) ที่เน้นผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลแทบทั่วโลกใช้ในการพัฒนาประเทศ แต่ก็ช่วยลดความทุกข์และความเครียดของประชาชนในการทำงานหาเงิน โดยผลที่ตามมาคือความสุขมากขึ้น
GNH ของภูฏาน ยังทำให้รัฐบาลหลายประเทศหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาวะของประชาชนมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดจัดทำดัชนีชี้วัดความสุข และจัดอันดับประเทศมีความสุขที่สุดในโลกในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะภูฏานกลายเป็นประเทศที่เผชิญปัญหามากมาย จนผู้คนทนทุกข์มีมากกว่าที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
หลักฐานยืนยันเรื่องนี้คือ เมื่อปี 2014 ภูฏาน อยู่ในอันดับ 84 ของประเทศมีความสุขที่สุดในโลก จากทั้งหมด156 อันดับ ตามเกณฑ์วัดของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษ พอข้ามไปปี 2019 ก็ร่วงลงไปอยู่อันดับ 95
กระทั่งการสำรวจครั้งล่าสุดของภูฏานเองเมื่อปี 2022 ก็ยังระบุว่า กลุ่มตัวอย่างเพียง 3.3% เท่านั้นที่มีความสุขเพิ่มขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนเมื่อปี 2015

ปัจจุบันภูฏานเผชิญปัญหาหลายด้าน และตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็ไม่สู้ดีนัก โดยอัตราการว่างงานของวัยรุ่นเพิ่มต่อเนื่อง ขณะที่ 1 ใน 8 ของประชากรก็มีฐานะยากจน และมีการจำกัดสิทธิชนกลุ่มน้อยที่มีเชื้อสายเนปาล
ด้านสัดส่วนของผู้หญิงที่ได้ทำงานเทียบกับผู้ชายก็ลดลงต่อเนื่อง และแม้เป็นประเทศประชาธิปไตย แต่สิทธิเสรีภาพของสื่อก็ต่ำมาก และประชาชนก็รู้สึกว่าไม่สิทธิเท่าที่ควร เสียงในการแสดงออกทางการเมืองหรือคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล
The Guardian สื่อเก่าแก่ของอังกฤษรายงานว่า ภูฏานมีนักโทษการเมือง 34 คน โดยผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลจะถูกจับกุม และประชาชนไม่มีสิทธิคัดค้านนโยบายหรือโครงการที่เป็นดำริของกษัตริย์
ตัวอย่างที่ชัดเจนเรื่องนี้คือ โครงการเปลี่ยนพื้นที่ทางภาคใต้ให้เป็นเมืองแห่งความสงบ ที่ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้แม้เกษตรกรถึง 10,000 คนต้องย้ายออกไปจากบ้านและถิ่นทำกินของตัวเอง
รายงานของ The Guardian ยังระบุอีกด้วยว่า ปัญหาต่าง ๆ ในประเทศ เช่น ความยากจน อยากไปหาความก้าวหน้า อึดอัดกับการถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ การเป็นชนกลุ่มน้อย ทำให้ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ประชากร 1 ใน 6 ของภูฏานพากันย้ายไปอยู่ประเทศอื่น

จากนี้ต้องติดตามกันต่อไปว่า ภูฏานจะปรับนโยบายบริหารประเทศอย่างไร เพราะขนาดนายกรัฐมนตรี เชอร์ริง ท็อปเกย์ ของภูฏานเองยังยอมรับว่า รัฐบาลล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจ และต้องมีการปรับแก้ GNH เป็นเวอร์ชั่น 2.0 ได้แล้ว
รายงานของ The Guardian สรุปทิ้งท้ายไว้ว่า ภูฏานต้องคิดใหม่ทำใหม่ โดยควรหันมาใส่ใจเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นจริงมากขึ้น พร้อมลดการอิงอุดมคติหรือโลกสวยมากเกินไป
และความสุขจากความพอเพียงอาจไม่เพียงพอในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งก็ยืนยันได้จากคนจำนวนไม่น้อยที่ยังยากจนทนทุกข์
จนทำให้ภูฏานก็ไม่ต่างจากประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่ผู้ที่ฐานะร่ำรวยหรือชนชั้นนำเท่านั้นที่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามีความสุข
ถ้าทำได้ภูฏานจะสามารถกลับมาเป็นสวรรค์บนดินที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวจนเงินในประเทศสะพัดอันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันยังช่วยจูงใจให้ประชาชนที่ทิ้งบ้านเกิดจากปัญหาต่าง ๆ เต็มใจกลับมาพัฒนาประเทศได้อีกด้วย / theguardian
.-
