Trend /ข่าวใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ASEAN ที่เรียกเสียงฮือฮาและถูกจับตามองมากสุดช่วงไม่กี่ปีมานี้ คือ ความเคลื่อนไหวของ Vinfast ค่ายรถเวียดนาม ที่มุ่งผลิตรถอีวีตามเทรนด์ตลาด และต่อเนื่องด้วยการทำไอพีโอในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
แต่กลายเป็นว่าค่ายรถที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามและความภาคภูมิใจของคนในชาติ กลับเผชิญปัญหาไม่หยุด จนล่าสุดผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องกู้วิกฤตด้วยเงินก้อนใหญ่

Vingroup เครือธุรกิจใหญ่สุดของเวียดนามและต้นสังกัดของ Vinfast เพิ่มเงินทุนให้ Vinfast รวม 3,350 ล้านดอลลาร์ (ราว 117,000 ล้านบาท) โดยในจำนวนนี้ 1,970 ล้านดอลลาร์ (ราว 69,000 ล้านบาท) มาจาก ฝาม เญิ้ต เวือง ผู้บริหารสูงสุดของ Vingroup ที่ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเวียดนามด้วย

Vingroup หวังว่าเงินก้อนใหญ่ก้อนนี้ จะช่วยให้ Vingroup เดินหน้าต่อไปได้ แม้ต้องเผชิญความท้าทายมากมาย จนถึงจุดคุ้มทุนในปี 2026 ตามที่คาดไว้
ตามข้อมูลของสื่อเศรษฐกิจ-การเงินในสหรัฐฯ ระบุว่า นับจากตั้งบริษัทเมื่อปี 2017 เป็นต้นมา Vinfast ได้รับการอัดฉีดเงินจาก Vin Group ไปแล้วสูงถึง 13,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 472,000 ล้านบาท) แต่สถานการณ์ของบริษัทยังคงไม่ดีและก้าวไปข้างหน้าได้ไม่มากเท่าใดนัก
สถานการณ์ที่ทำให้ Vinfast ไม่ต่างจากรถเครื่องสะดุดนี้ เริ่มจากกรณีการส่งมอบรถให้ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ที่ล่าช้าออกไปเมื่อปี 2023 เพราะต้องแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ และเมื่อผู้ซื้อได้รถมาแล้วก็ยังเกิดปัญหาอีก นำมาสู่การบ่นกันผ่านสื่อออนไลน์จนชื่อเสียงของแบรนด์ไม่ดี
ทั้งที่วางตัวเป็นรถอีวี ตามเทรนด์ตลาด และเคยเรียกเสียงฮือฮาด้วยการที่ช่วงหนึ่งมูลค่าบริษัทของ Vinfast แซง Ford บริษัทยานยนต์สัญชาติอเมริกันอายุมากกว่า 120 ปี มาแล้ว
ปัญหาของ Vinfast ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังไม่ทำกำไร ยอดขายตกต่อเนื่อง และไตรมาส 2 ปี 2024 ขาดทุนไป 773 ล้านดอลลาร์ (ราว 27,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาสแรกปีเดียวกัน ซ้ำร้ายยังเพิ่มขึ้น 40% จากไตรมาส 2 ปี 2023 อีกด้วย

ยอดขายที่ลดลงไป ทำให้เงินทุนของ Vinfast ร่อยหรอ จนต้องชะลอโครงการสร้างโรงงานในสหรัฐฯ มูลค่า 2,000 ดอลลาร์ (ราว 70,000 ล้านบาท) เอาไว้ก่อน และกำหนดการเริ่มเดินสายการผลิตต้องเลื่อนไปเป็นปี 2028
จากนี้ Vinfast คงถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น เพราะระหว่างที่กำลังพยายามกู้วิกฤตนี้ยังต้องเผชิญกับอีก 3 ปัญหาใหญ่
ปัญหาแรก คือ ตลาดรถอีวีทั่วโลกหดตัว จากจุดชาร์จไฟฟ้าทั่วโลกที่ยังไม่ครอบคลุมและพิษเศรษฐกิจ จนผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการซื้อรถอีวีออกไปก่อน หรือหันไปซื้อรถเครื่องยนต์ไฮบริดที่ใช้ทั้งน้ำมันกับไฟฟ้าสลับกันได้ไปก่อน
ปัญหาต่อมาคือ ชื่อเสียงแบรนด์ของ Vinfast ที่ยังไม่ดีและไม่เป็นรู้จักในตลาดโลก นอกจากนี้ ทั้งชื่อเสียงกับกำลังการผลิตยังตามหลังแบรนด์จีน โดยเฉพาะ BYD อย่างมากอีกด้วย

ส่วนปัญหาสุดท้ายคือต่อไปราคารถ Vinfast อาจแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ เพราะมีแนวโน้มว่า ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คงสั่งเพิ่มภาษีนำเข้าต่อรถผลิตในต่างประเทศทั้งหมด เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ / cnbc
–
.
