Trend / เป็นที่รู้กันว่าอินเทอร์เน็ต สมาร์ตโฟน อี-บุ๊ก ส่งผลต่อพฤติกรรมการอ่าน ทำให้คนทั่วโลกหันไปอ่านหนังสือผ่านอีบุ๊กหรือบนสมาร์ตโฟนกันมากขึ้น จนยอดขายหนังสือลดลง
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อผู้คนหันไปใช้เวลาว่างกับโซเชียลมีเดียและสื่อสตรีมมิ่ง จนยอดขายหนังสือแบบเล่มร่วงลงไป และร้านหนังสือพากันปิดตัว ส่วนเชนใหญ่ที่ทุนหนาก็ต้องนำสินค้าอย่างอื่นเข้ามาขายหรือปรับรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อให้อยู่รอดต่อไป
แต่ราว 4 ปีมานี้มีเทรนด์ที่ช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ของวงการหนังสือ ซึ่งแน่นอนรวมถึงร้านหนังสือด้วย โดยหลักฐานชัดเจนของเรื่องนี้ คือการที่ Barnes & Nobles เชนร้านหนังสือใหญ่สุดของสหรัฐฯ กลับมาเปิดสาขาใหญ่ในอาคาร 3 ชั้นย่านจอร์จทาวน์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลังต้องปิดไปกว่า 10 ปี ซึ่งผู้บริหารระบุว่าเทรนด์ดังกล่าวมีส่วนสำคัญ
เทรนด์ดังกล่าวคือ เหล่านักอ่านที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางแนะนำหนังสือที่ได้อ่าน หรือ Booktoker ทั้งเล่มใหม่ที่เพิ่งได้มา และเล่มเก่าที่กลับมาอ่าน ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อปี 2020 ช่วงที่ทั่วโลกติดล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ ผู้คนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z ที่ยังไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องงานต่างหากิจกรรมทำแก้เบื่อ ประกอบกับอยากหากิจกรรมทดแทนการเข้าสังคมที่ขาดหายไป

เทรนด์ Booktokker ทยอยได้รับความนิยม สังเกตได้จากยอดโพสต์คลิปวิดีโอติด #Booktok ที่เพิ่มขึ้น เป็นหลายล้านคลิป จนที่สุดก็มีตัวเลขเชิงบวกให้เห็น ยืนยันถึงพลังของ Booktokker
ปี 2021 สมาคมสำนักพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเผยว่า ยอดขายหนังสือกลุ่มเรื่องสั้นขึ้นมาเป็น 733 ล้านปอนด์ (ราว 32,300 ล้านบาท) เพิ่มมา 7% จากปี 2020 ขณะที่ยอดขายหนังสือเด็กและอี-บุ๊ก ก็เพิ่มขึ้น 7 และ 14% ตามกรอบเวลาเดียวกัน
พลังของ Booktokker ยังทำให้ในปีเดียวกันหนังสือนิยาย We Are Liars ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2014 กลับมาขายดี โดยเพียงปีเดียวยอดขายเพิ่มขึ้น 5 เท่า

จากนั้น Booktokker ก็ขึ้นมามีความสำคัญต่อวงการหนังสือ ธุรกิจร้านหนังสือและต่อเนื่องไปถึงงานหนังสืออีกด้วย โดยปี 2022 TikTok เผยว่าคลิปวิดีโอติด #Booktok เพิ่มเป็นหลายสิบล้านคลิป และยอดการกดเข้าดู (View) ก็มากถึง 84,000 ล้านครั้ง
ข้อมูลเชิงบวกดังกล่าวประกอบกับมาตรการล็อกดาวน์ที่ผ่อนคลายลงไปมากจนผู้คนออกไปร้านหนังสือได้ตามปกติ ทำให้หนังสือในอังกฤษและอีกหลายประเทศในยุโรป จัดโซนให้ Booktokker ได้ถ่ายคลิปวิดีโอแนะนำหนังสือ
ท่ามกลางการรายงานว่า มีหนังสืออีกหลายเล่มที่ขายดีจากพลัง Booktokker ขณะที่ TikTok ก็เริ่มมีที่ทางในวงการหนังสือ และวงการหนังสือก็ว่า TikTok มีความสำคัญ ด้วยการได้เป็นสปอนเซอร์ของ Frankfurt Book Fair งานหนังสือใหญ่สุดในโลกที่จัดขึ้นในเยอรมนี
ปี 2023 การเชื่อมโยงกันระหว่าง Booktokker กับวงการหนังสือผ่าน TikTok ก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และส่งผลดีต่อหลายฝ่าย เริ่มจากยอดขายหนังสือที่เพิ่มขึ้นจาก Booktokker ต่อด้วยบางคนที่ลองเขียนหนังสือหลังได้อ่านหนังสือที่ Booktokker แนะนำ และไปถึงขั้นเลี้ยงชีพได้ด้วยการเป็นนักเขียน
เช่น Adam Beswick หนุ่มชาวอังกฤษที่ได้ Booktokker ช่วยแนะนำหนังสือ เริ่มจาก Forrest of Vanity and Valour ซึ่งขายดี จนมีออกมาแล้วรวม 6 เล่ม
ในปีเดียวกันยอดวิวคลิปวิดีโอติด #Booktok เพิ่มเป็น 200,000 ล้านครั้ง จน ByteDance เฉยไม่ได้อีกต่อไป นำมาสู่การจับมือกับสำนักพิมพ์ในสหรัฐฯ ตั้งสำนักพิมพ์ 8th Note Press ขึ้น ประเดิมด้วยเวอร์ชั่นแบบอี-บุ๊กก่อน

พอปี 2024 ทัพ Booktokker ก็ช่วยดันยอดขายหนังสือในหลายประเทศ และการทำคลิปของ Booktokker ในงานหนังสือ และชั้นวางเล่มขายดีบน TikTok ในร้านหนังสือทั่วโลกก็กลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของแผนการตลาดนี้คือบรรดา Gen Z ที่เข้าไปดูคลิปวิดีโอ Booktok มากสุดนั่นเอง
ขณะที่สหรัฐฯ ผู้บริหารของเชนร้านหนังสือใหญ่ Barnes & Nobles ยอมรับว่า Bootokker ปลุกกระแสการอ่านหนังสือ จนทำให้ดันยอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่งเมื่อนำมารวมกับนโยบายของซีอีโอคนปัจจุบันที่ให้แต่ละร้านแนะนำและเลือกหนังสือนำมาขายได้เอง ก็ทำให้สามารถกลับมาเปิดสาขา จอร์จทาวน์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ถือว่ามีสำคัญ เพราะเปิดมาตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2011 แต่ต้องปิดไปเพราะยอดขายตก

พร้อมกันนี้ Booktokker ยังช่วยให้สถานการณ์โดยรวมของ Barnes & Nobles ดีขึ้นมากจนปีนี้เปิดสาขาเพิ่มในสหรัฐฯ ไปได้แล้วมากถึง 57 แห่ง
ส่วนในปี 2025 แนวโน้มว่า Booktokker จะยังเป็นแรงหนุนให้ผู้คนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หันมาอ่านหนังสือกันมากขึ้นอีก ท่ามกลางการจับตามองว่า หนังสือแบบเล่มเล่มแรกของสำนักพิมพ์ 8th Note Press ใต้ชายคา Bytedance บริษัทแม่ของ TikTok จะเปิดตัวได้สวยแค่ไหน และส่งต่อให้เกิดการตีพิมพ์เล่มใหม่ ๆ ของสำนักพิมพ์นี้ออกมาอีกกี่มากน้อย
ขณะเดียวกันก็ต้องจับตามองด้วยว่า Amazon จะเกาะกระแส Booktokker ด้วยการกลับมาเปิดร้านหนังสือ ที่เปิดมาได้ 6 ปีแต่ต้องปิดไปในปี 2022 หรือไม่ ซึ่งหากกลับมาเปิดจะถือว่าการทำธุรกิจกลับมาครบวงจร เพราะก่อนที่จะขยายจนเป็นยักษ์อี-คอมเมิร์ซ พร้อมธุรกิจในเครือมากมาย ไล่ตั้งแต่หุ่นยนต์ลำเลียงของในคลังสินค้า อี-คอมเมิร์ซ
ค่ายหนัง หนังสือพิมพ์ ไปจนถึงบริษัททัวร์อวกาศ ที่ส่งให้ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นในปัจจุบัน Amazon เริ่มต้นจากการขายหนังสือออนไลน์เมื่อยุค 90 ♦ / cnn, bbc, trendwatching, piworld
–
