Trend / โลกการทำงานช่วงไม่กี่ปีมานี้เปลี่ยนไปอย่างมาก และในอนาคตก็จะเปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เห็นเทรนด์และปรับตัวได้ก่อนจึงก้าวไปได้ไกลกว่าในตลาดแรงงาน
สำหรับปี 2025 มี 8 เทรนด์ในโลกการทำงานที่จะได้เห็นกันมากขึ้น
More Upskill & Reskill: เทรนด์แรกที่จะได้เห็นกันหรือชัดเจนมากขึ้นในปีหน้าสำหรับโลกการทำงาน คือ การปรับปรุงทักษะที่มีอยู่เดิม (Upskill) หรือแม้กระทั่งทบทวนทักษะในปัจจุบันว่ายังใช้ได้อยู่หรือล้าสมัยไปแล้วหรือไม่ (Reskill) โดยเฉพาะเอไอและเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ
เดิมทีการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่ทำโดยสมัครใจ แต่จากนี้อาจถูกบรรจุอยู่ในนโยบายบริษัทและถ่ายทอดลงมาเป็นกฎระเบียบที่พนักงานทุกคนต้องปฏิบัติ เพราะเอไอถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น และบริษัทไหนที่ใช้กันมากจึงถือเป็นแต้มต่อ ซึ่งส่งผลให้พนักงานที่ไม่พัฒนาทักษะใหม่ ๆ หรือปรับตัวช้า โดยเฉพาะกลุ่ม Babyboomer และ Gen X อาจต้องตกงาน หรือหางานทำได้ยากขึ้น
สิ่งที่จะตามมาจากเทรนด์นี้ คือ บริษัทต่าง ๆ จัดการอบรมพนักงานมากขึ้น เพื่อรั้งตัวพนักงานที่มีอยู่เดิมและจูงใจให้คนเก่งที่อยากก้าวหน้ามาทำงานด้วย
ในส่วนของคอร์สอบรมก็จะไม่จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น โดยอาจมีการจัดอบรมภายในเรื่องเทรนด์และค่านิยมใหม่ ๆ จาก Gen Z และข้อมูลเป็นประโยชน์โดยผู้มีประสบการณ์จาก Gen X และ Babyboomer ที่เรียกกัน การที่คนต่างรุ่นมาสลับขั้วเป็นโค้ชให้กัน หรือ Reverse Mentorship อีกด้วย
Rise of Four Days Workweek: เทรนด์ในโลกการทำงานต่อมาที่ได้เห็นกัน คือ การลดวันทำงานลงมาเหลือ 4 วันแล้วเพิ่มวันพักเป็น 3 วัน หลังมีข้อมูลออกมาต่อเนื่อง จากการทดลองในแถบสหภาพราชอาณาจักรและหลายประเทศในยุโรปว่า การแบ่งสัดส่วนวันทำงานกับวันพักดังกล่าวทำให้ผลงานออกมาดีและสมดุลชีวิต (Work-Life Balance) ดีขึ้น
การทำงานสัปดาห์ละ 4 วันยังดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทำให้ผู้คนได้พักผ่อน และลดการเดินทาง จึงทำให้กิจกรรมที่ต้องมีการเดินทางสัญจรหรือใช้ยวดยานพาหนะต่าง ๆ ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนลดลงตามได้อีกทางหนึ่งด้วย
Hybrid Workspace New Normal: เทรนด์ที่ 3 ในโลกการทำงานสำหรับปี 2025 ต่อเนื่องมาจากเทรนด์ก่อนหน้า นั่นคือ การให้ทำงานสลับระหว่างบ้านกับเข้าบริษัทได้ตามสะดวก (Hybrid Workspace) โดยจากเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ใช้ในบางบริษัท แต่จากนี้การทำงานรูปแบบดังกล่าว จะเป็นเรื่องปกติ ไม่ต่างจากสวัสดิการของบริษัท
เทรนด์นี้มีที่มาจากคนทำงานรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ให้ความสำคัญกับการทำงานแบบยืดหยุ่นและเน้นความสะดวก ขณะที่รุ่นพี่ ๆ ก็เห็นว่า การทำงานแบบนี้สะดวก ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการเดินทาง และยังทำให้สมดุลชีวิตกับสุขภาพกายและใจดี ดังนั้น บริษัทที่ทำให้ทำงานแบบ Hybrid จูงใจให้พนักงานอยู่ต่อได้นานนั่นเอง
Gig Economy 2.0: จากเดิมที่ Gig ซึ่งหมายถึงการทำงานระยะสั้น ๆ เพื่อเป็นงานเสริมหรือสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อย่างงานขับรถส่งอาหารที่สั่งผ่านแอป แต่ในปี 2025 คนเก่ง ๆ ในสายงานอื่น ๆ อาจทำงานแบบ Gig กันมากขึ้น
เทรนด์ที่อาจเรียกได้ว่า Gig Economy 2.0 นี้เกิดจากเหล่าคนเก่ง ๆ มีความสามารถและมากประสบการณ์ต่างหันมาให้ความสำคัญ Work-life Balance การทำงานแบบยืดหยุ่นกันมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็เห็นว่า ควรเปิดรับความท้าทายใหม่ ๆ อยู่เสมอ และไม่ควรยึดติดกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานเกินไป ดังนั้น การทำงานแบบเป็นจ๊อบ ๆ จึงลงตัวมากสุดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้ก็บีบให้ฝั่งบริษัทต้องปรับตัว ด้วยการเสนอสวัสดิการและสิ่งจูงใจต่าง ๆ ทั้งเพื่อแย่งตัวคนเก่ง ๆ และรั้งตัวพนักงานให้ไม่ย้ายไปอยู่กับบริษัทอื่น ๆ หรือเป็น Freelance เต็มตัวที่เน้นทำงานแบบ Gig Economy 2.0
Human-Machine Synergy: จากเรื่องที่เคยอยู่แต่ในนิยายวิทยาศาสตร์ วันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะเอไอ เข้ามามีบทบาทกับการทำงานมากขึ้น จนทักษะด้านเอไอกลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยในปี 2025 เริ่มมีบางบริษัทระบุให้เป็นทักษะต้องมีของพนักงานและผู้ที่จะมาสมัครงานไปแล้ว
ดังนั้น ในมุมของพนักงาน ควรเลิกต่อต้านแล้วหันมาเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน และเปลี่ยนไปคิดว่า เอไอไม่ใช่จะมาแทนแต่เป็นการเสริมหรือเพิ่มศักยภาพคนเพื่อให้ผลงานออกมาดีกว่าเดิม ซึ่งอาจเริ่มจากการให้เอไอทำงานที่เป็นกิจวัตร จัดการหรือตรวจสอบข้อมูล จากนั้นค่อย ๆ ขยับขึ้นไป เพื่อให้คนมีเวลาไปทำงานเชิงสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมได้มากขึ้น

Human Centric Leadership: เทรนด์ที่ 6 ในโลกการทำงานที่จะได้เห็นกันมากขึ้นในปี 2025 คือ การหันมาใส่ใจไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันในหมู่พนักงาน หรือทักษะในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างคน (Soft Skill) ที่ตรงข้ามกับทักษะเชิงเทคนิค (Hard Skill)
เพราะเมื่อคนใช้เอไอทำงานกันมากขึ้น Soft Skill จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามหรือละเลย โดยกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญในการดูแลใส่ใจคนมากขึ้นคือบรรดาหัวหน้าทีมและผู้บริหาร เพราะลูกทีมที่ทำงานกับเทคโนโลยีตลอดวันหรือเครียดกับการจ้องหน้าจอนาน ๆ ย่อมอยากพูดกับคนด้วยกันบ้าง และอยากให้หัวหน้าเข้าใจและใส่ใจ
การที่คนเก่ง ๆ ไม่ยึดติดกับองค์กร เน้นทำงานระยะสั้นหรืออิงจากตัวงาน ทำให้หัวเรือใหญ่ของบริษัทหรือหัวหน้าทีมต้องบริหารคนให้ดีและรั้งคนให้ได้นานที่สุด ก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมการบริหารโดยเน้นที่คนเป็นศูนย์กลาง (Human Centric Leadership) จะเป็นอีกเทรนด์ที่สำคัญในปี 2025
Immersive Online Working: เทรนด์ต่อมาในโลกการทำงานปี 2025 เป็นเรื่องเทคโนโลยี นั่นคือ การพัฒนาและผลักดันเทคโนโลยีความจริงเสมือนหรือวีอาร์กับความจริงเสริมหรือเออาร์ให้เกิดการนำมาใช้มากขึ้น
จุดประสงค์ของการผลักดันเรื่องนี้ก็เพื่อให้พนักงานที่ไม่ได้เข้ามาในบริษัทสร้างผลงานออกมาได้ขึ้น หรืออาจเรียกได้ว่าทำงานแบบออนไลน์ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งต่อยอดมาจากเทรนด์มัลติเวิร์สที่เห็นพัฒนาขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้นั่นเอง
AI X HR Acceleration: มาถึงเทรนด์สุดท้ายในการทำงานของปี 2025 ซึ่งแม้มีการใช้มากขึ้นแต่เหล่าผู้คนในตลาดแรงงานโดยเฉพาะบรรดารุ่นใหญ่อย่าง Gen X และ Babyboomer กลับแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดขึ้นแล้ว
เทรนด์ดังกล่าวคือการที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลนำเอไอมาใช้ในงานต่าง ๆ โดยงานที่เริ่มใช้กันแล้วคือการคัดใบสมัคร และการตรวจประวัติย่อของผู้สมัครงาน ซึ่งเป็นพัฒนาการต่อเนื่องหลังเอไอเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็นการโต้กลับฝ่ายผู้สมัครกลุ่ม Gen Z ที่ใช้เอไอเขียนประวัติย่อ
ประโยชน์ของการที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลนำเอไอมาใช้คือทำให้กระบวนการคัดคนเร็วขึ้น และงานที่ต้องจัดการข้อมูลมาก ๆ รวมถึงการประเมินมีประสิทธิภาพขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้มีเวลาไปทำงานสำคัญอื่น ๆ วางนโยบายในการบริหารคนและองค์กรได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลไม่ควรหลงลืมไป นั่นคือต้องจัดสมดุลระหว่าง Hard Skill กับ Soft Skill ให้ดี เพราะยังเป็นแผนกที่ต้องทำงานกับคนมากสุดในบริษัท ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปแค่ไหนก็ตาม ♦ / linkedin
–
