หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย อัตรา 36%
งานนี้ส่งผลกระทบหนักให้กับ 2 บริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 2 ปีก่อน อย่างบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ i-Tail และ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI อย่างเต็ม ๆ
i-Tail ปัจจุบันคือผู้นำในการรับจ้างผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” ของประเทศไทย อันดับ 5 ของเอเชีย (ข้อมูลอ้างอิงจากมูลค่าขายจาก PetFoodIndustry.com )
ปีที่ผ่านมา i-Tail เพิ่งประกาศโชว์ผลงานขายที่สุดปัง 17,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% กำไรสุทธิ 3,597 ล้านบาท เติบโต 57.7% จากปีก่อน
รายได้ปีที่ผ่านมาของ i-Tail อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 50% ทวีปเอเชียและโอเชียเนีย 34% และทวีปยุโรป 16%
เป็นอาหารแมว 70% อาหารสุนัข 18% และขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง 12%
ปีที่แล้วบริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลก 83 ราย ซึ่งรวมถึงลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่และบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ ด้วย
ทำให้ i-Tail กล้าตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการขายเป็นสามเท่า เป็นประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 ผ่านการเติบโตแบบออแกนิกและการควบรวมและซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง
ส่วนบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ปี 2567 เพิ่งโชว์ฟอร์มแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 1,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% รายได้รวม 6,849 ล้านบาท เติบโต 25.9% เป็นรายได้ที่มาจากอาหารสัตว์เลี้ยง 86% อาหารพร้อมรับประทาน 13%
นอกจากรับจ้างผลิต i-Tail ยังมีแบรนด์อาหารน้องหมาและแมวในทุก Market Segment เช่น แบรนด์มองชู ฮาจิโกะ และ โปร
ตลาดสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป เป็นการรับจ้างผลิต 96% จากแบรนด์ตัวเอง 3%
ด้วยความมั่นใจแม้ตลาดจะแข่งขันรุนแรง AAI ยังตั้งเป้ายอดขายนิวไฮในปี 2568 ที่ 7.4 พันล้านบาท เติบโต 8.8%
i-Tail และ AAI เติบโตไปพร้อม ๆ กับ Humanization ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว
ก็ต้องดูกันว่าอุปสรรคสำคัญเรื่องภาษีครั้งนี้ทั้ง i-Tail และ AAI จะผ่านไปได้อย่างไร อาจจะเป็นแนวทางการปรับราคาสินค้า มองหาตลาดใหม่ หรือลดต้นทุนการผลิตอื่น ๆ
เพราะเชื่อว่าผู้บริหารได้เตรียมตั้งรับกับปัญหาในเรื่องภาษีไว้แล้ว แต่อาจไม่คาดคิดว่าจะสูงขนาดนี้
ในขณะที่ยังมีตัวเลขคาดการณ์ว่า ปี 2568-2576 ตลาดสัตว์เลี้ยงยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่แค่ไหน โดยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7.03% หรือมีมูลค่าตลาด 597,510 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2576 (ที่มา: Precedence Research)
–
