เจ้าสัว มีอะไรที่น่าสนใจ เถ้าแก่น้อย จึงอยากจะขอถือหุ้นด้วยคน

เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้ถือหุ้น บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เมื่อ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เข้ามาถือหุ้นเจ้าสัวฯ ในสัดส่วน 4.76% ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 รองจาก บริษัท เจ้าสัว กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และ LGT BANK (SINGAPORE) LTD

การเข้ามาซื้อหุ้นเจ้าสัวฯ ของเถ้าแก่น้อยฯ เป็นการซื้อหุ้นส่วนหนึ่งต่อจาก SAGAR CAPITAL PTE. LTD. บริษัทโฮลดิ้งจากสิงคโปร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 9.50% ที่ต้องการ Exit ออกจากหุ้นเจ้าสัวฯ ทั้งหมด

และที่ผ่านมา อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ผู้ก่อตั้งเถ้าแก่น้อยฯ ถือหุ้นในเจ้าสัว 0.25%

ทำให้การซื้อหุ้นในครั้งนี้ กลุ่มเถ้าแก่น้อยฯ มีหุ้นทั้งหมด ในเจ้าสัวฯ รวม 5.01%

ในฐานะเถ้าแก่น้อยเข้าเป็นหุ้นใหญ่อันดับสามของเจ้าสัวฯ Marketeer มองว่า เป็นหนึ่งในโอกาสทางธุรกิจที่ เถ้าแก่น้อยฯ และเจ้าสัวฯ Synergy ร่วมกัน ผ่านจุดแข็งของทั้งสองบริษัท

เช่น

Synergy ด้านสินค้า

สำหรับเจ้าสัวฯ ถือเป็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยวที่มีสินค้าหลักคือข้าวตัง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าคนละประเภทของเถ้าแก่น้อยฯ

ในปีที่ผ่านมาเจ้าสัวฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 1,567.1 ล้านบาท เติบโต 4.9%

โดยกลุ่มข้าวตังมีสัดส่วน 41.9% ของรายได้ทั้งหมด เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วน 31%

และข้าวตังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต 25.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากกลุ่มสินค้าข้าวตังในรูปแบบเดิม ข้าวตังไรซ์เบอรี่ และกลุ่มข้าวตังอบกรอบจับกลุ่มเป้าหมาย 18-55 ปี

 และเจ้าสัวฯ ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น หมูแท่ง หมูแผ่น หมูเส้นฝอย ขนมแครกเกอร์ธัญญาพืช ซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อสัตว์ – ธัญพืช, อาหารแปรรูป และขนมอื่น ๆ ที่มีการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ทำตลาดอยู่เสมอ ที่สามารถนำมา Synergy กับสินค้าเด่นของเถ้าแก่น้อยฯ เช่นสาหร่าย เพื่อพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ ๆ หรือ Collab ต่อยอดทางธุรกิจได้

Synergy ด้านช่องทางจัดจำหน่าย ที่อาจจะใช้พลังและจุดเด่นของช่องทางจัดจำหน่ายทั้งสองบริษัทจับมือร่วมกันเพื่อกระจายสินค้าเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายหลักของทั้งสองธุรกิจ

จากปีที่ผ่านมาเจ้าสัวฯ มีสัดส่วนยอดขายมาจากประเทศจีน 11% ส่วนเถ้าแก่น้อย 21% จากรายได้ทั้งหมด

ซึ่งหลังจากที่เถ้าแก่น้อยฯ เข้าถือหุ้นในเจ้าสัวฯ นอกเหนือจะส่งเสริมด้าน Synergy ให้กับทั้งสองฝ่ายแล้ว ในระยะสั้นยังส่งผลดีให้กับหุ้นเจ้าสัว และเถ้าแก่น้อย เพราะอย่างน้อยหลังจากเจ้าสัวฯ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ถึงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หุ้นทั้งสองบริษัทได้ถีบตัวต่อการซื้อขายขึ้นเป็นบวกด้วยกันทั้งคู่

อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยว อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าสัวฯ พบว่ามีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี

ปี 2563 มูลค่า 87,114.9 ล้านบาท

ปี 2564 มูลค่า 86,049.0 ล้านบาท

ส่วนปี 2565 มูลค่า 92,819.2 ล้านบาท

สำหรับปี 2566 มูลค่า 99.854.4 ล้านบาท

และปี 2567 มูลค่า 105,840.0 ล้านบาท

ในปี 2565 ตลาดขนมขบเคี้ยว มีสัดส่วนมากจาก

มันฝรั่งทอดกรอบ 36.0%

ขนมขึ้นรูป 27.0%

ถั่ว 10.8%

ขนมที่ทำจากเนื้อปลาและปลาหมึก 10.0%

สาหร่าย 5.4%

ขนมที่ทำจากข้าวอื่น ๆ 2.9%

ข้าวตัง 2.6%

ขนมทำจากเนื้อหมู 1.3%

อื่น ๆ 3.9%

 

สำหรับประเทศไทยแม้จะเป็นประเทศที่บริโภคขนมติด Top10 ต่อประชากรต่อกิโลกรัมต่อปี แต่ถือเป็นประเทศที่มีการบริโภคขนมไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

ในปี 2565 ข้อมูลจาก เจ้าสัว พบว่า 11 ประเทศที่มีการบริโภคขนมต่อคนต่อปีมากที่สุด ได้แก่

สหรัฐอเมริกา 31.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

มาเลเซีย 15.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

ออสเตรเลีย 10.8 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

นิวซีแลนด์ 10.8 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

เวียดนาม 8.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

เกาหลีใต้ 7.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

ฮ่องกง 6.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

จีน 3.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

กัมพูชา 3.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

ไทย 2.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

ลาว 2.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer