KAWS ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัยที่คนรุ่นใหม่รู้จักกันดี ผ่านคาแรกเตอร์ใบหน้าคล้ายหัวกะโหลก ดวงตารูปกากบาท ซึ่งมักปรากฏในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ปิดตา ครุ่นคิด เหงา หรือเศร้าหมอง สื่อถึงภาวะตายทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ

การสื่อสารอารมณ์ผ่านคาแรกเตอร์ของเขาได้สร้างปรากฏการณ์ในโลกศิลปะร่วมสมัย และสามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Brian Donnelly เจ้าของผลงาน ผ่านการรังสรรค์ผลงานในรูปแบบต่าง ๆ และการร่วมมือ (Collab) กับแบรนด์ชั้นนำ

อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาเป็นศิลปินร่วมสมัยที่โด่งดังไปทั่วโลกเช่นทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นของ KAWS มาจากการทำ Hijack Graffiti โดย Brian Donnelly ซึ่งวาดคาแรกเตอร์หัวกะโหลกไขว้ทับลงบนโปสเตอร์โฆษณาตามป้ายรถเมล์ เช่น Calvin Klein, DKNY และ Diesel พร้อมลงชื่อ KAWS เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

ทั้งนี้ คำว่า “KAWS” ไม่ได้มีความหมายเฉพาะทางภาษา แต่เป็นคำที่ Donnelly ชอบรูปร่างตัวอักษรของมันเท่านั้น

ผลงานการพ่นสเปรย์บนป้ายโฆษณานี้ ถือเป็นการต่อยอดจากงาน Graffiti ที่เขาเคยพ่นเพียงชื่อ KAWS ตามกำแพงและอาคารในรัฐนิวเจอร์ซีย์และแมนฮัตตัน ตั้งแต่ปี 1990 ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมงานกับ Disney ในปี 1996 ในฐานะอนิเมเตอร์ผู้วาดฉากหลังให้กับแอนิเมชันเรื่อง 101 Dalmatians รวมถึงเรื่อง Daria และ Doug

แม้จะทำงานในทีมของ Disney เขายังคงสร้างผลงาน Graffiti อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขึ้น

ผลงาน Hijack Graffiti นี้เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อ KAWS เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และนำไปสู่การเข้าสู่วงการธุรกิจศิลปะในชื่อ “KAWS”

หนึ่งในก้าวสำคัญคือการเลือก “ญี่ปุ่น” เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์เชิงธุรกิจ เพื่อสร้างการรับรู้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมองเห็นโอกาสจากกระแสความนิยมในงานศิลปะร่วมสมัยที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะผ่านฟิกเกอร์ สตรีทแวร์ และคอมมูนิตี้ที่เปิดกว้างต่อศิลปินต่างชาติ

KAWS จึงร่วมมือกับแบรนด์สตรีทแวร์ญี่ปุ่น Bounty Hunter สร้างฟิกเกอร์ชื่อว่า COMPANION ซึ่งมีใบหน้าคล้ายหัวกะโหลกและตาเป็นกากบาท วางจำหน่ายในปี 1999 จำนวน 500 ตัว และขายหมดภายในวันแรก กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ต่อยอดสู่ผลงานศิลปะและฟิกเกอร์อื่น ๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของ KAWS

หลังจากนั้น เขาได้ร่วมงานกับ Nigo ผู้ก่อตั้งแบรนด์ A Bathing Ape (BAPE) สร้างสรรค์ผลงานร่วมกันหลากหลายชิ้น

ในปี 2006 KAWSขยายฐานแฟนคลับไปอีกขั้น โดยร่วมมือกับบริษัทของเล่น Medicom Toy เปิดร้าน OriginalFake ที่โตเกียว นำเสนอผลงานทั้งฟิกเกอร์ สตรีทแวร์ ของสะสม และงานศิลปะ โดยร้านนี้ดำเนินกิจการถึงปี 2013 รวม 7 ปี

ความสำเร็จในญี่ปุ่นนำไปสู่การขยายสู่ระดับโลกผ่านผลงานศิลปะที่หลากหลาย ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรมขนาดใหญ่ รวมถึงการตีความคาแรกเตอร์ในรูปแบบใหม่ พร้อมนำเสนอผ่านนิทรรศการระดับโลก และการประมูลผลงาน เพื่อยกระดับจากศิลปินสตรีทสู่วงการศิลปะร่วมสมัยอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ยังสื่อสารตัวตนผ่านโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ และขยายฐานลูกค้าผ่านการ Collab กับแบรนด์ระดับโลก เช่น Uniqlo, Nike, Dior, เกม Fortnite, ถ้วยรางวัล MTV และอื่น ๆ

 

อย่างไรก็ตาม ในตลาดศิลปะร่วมสมัย ยังมีศิลปินคนอื่น ๆ ที่มีแนวทางใกล้เคียงกับ KAWS และอาจดึงดูดฐานแฟนคลับรุ่นใหม่ได้ เช่น

  • Takashi Murakami ศิลปินญี่ปุ่นเจ้าของผลงานดอกไม้หน้ายิ้ม และ Mr. DOB ที่มีสไตล์โดดเด่น และร่วมงานกับแบรนด์ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย
  • Futura ศิลปินสตรีทอาร์ตรุ่นใหญ่จากอเมริกา ผู้เริ่มต้นจาก Graffiti และมีผลงาน Collab กับหลายแบรนด์เช่นกัน
  • Yoshitomo Nara ศิลปินญี่ปุ่นผู้มีลายเส้นเฉพาะตัว และเคยสร้างผลงานประมูลราคาสูง เช่น Knife Behind Back ที่ถูกประมูลไปในปี 2000 ด้วยราคา 25 ล้านดอลลาร์ หรือราว 834 ล้านบาท (อิงเรต 33.36 บาท)

 

ล่าสุด Marketeer เชื่อว่าการที่ KAWS เลือก “ประเทศไทย” เป็นประเทศอันดับที่ 13 ในการจัดอาร์ตทัวร์ระดับโลกที่ ท้องสนามหลวง นั้น เป็นกลยุทธ์ในการตอกย้ำตัวตนของ KAWS ต่อกลุ่มคนไทยและนักท่องเที่ยว

ในโลกของศิลปะร่วมสมัย ที่ความชอบมีความหลากหลาย KAWS ยังคงยืนหยัดด้วยตัวตนเฉพาะทางของเขา

อ้างอิง

 

1234567891011

อัปเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
WebsiteMarketeeronline.co/Facebookwww.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer