Duty Free ในตลาดโลกเป็นอย่างไร ในวันที่ King Power ต้องการขอยกเลิกสัญญาจาก AOT

มูลค่าธุรกิจดิวตี้ฟรีโลกเติบโตขึ้นทุกปี เพื่อรองรับการจับจ่ายของนักเดินทางทั่วโลกให้เข้ามาใช้บริการซื้อสินค้าตามความต้องการสินค้าปลอดภาษีจากประเทศต่าง ๆ

ข้อมูลจาก Fortune Business Insights พบว่าในปีที่ผ่านมา ตลาดดิวตี้ฟรีโลกมีมูลค่ามากถึง 46,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.52 ล้านล้านบาท)

ส่วนปี 2568 คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า 50,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท)

ก่อนที่จะทะยานขึ้นเป็น 78,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.56 ล้านล้านบาท) ในปี 2575

ในช่วงที่ผ่านมา ภายใต้ตลาดดิวตี้ฟรีโลก ได้ถูกขับเคลื่อนโดยตลาดเอเชียแปซิฟิก หรือ APEC เป็นหลัก

โดยในปี 2566 ตลาดดิวตี้ฟรีในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่ามากถึง 21,920 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 712,180 ล้านบาท)

ส่วนปี 2567 มีมูลค่า 24,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 783,330 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ในตลาดโลก

ซึ่งการเติบโตของตลาดดิวตี้ฟรีในเอเชียแปซิฟิก ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ และอื่น ๆ มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการขยายตัวของสนามบินต่าง ๆ เพื่อรองรับการบินที่เพิ่มขึ้น

เช่น ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวน 100.96 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีการเดินทาง 77.35 ล้านครั้ง อ้างอิงข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพบว่าในปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากบริษัทท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น JTB พบว่า ชาวญี่ปุ่นเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศระหว่างมกราคม-พฤศจิกายน 2567 มากถึง 11.82 ล้านคน จากช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 ที่มีการเดินทางออกนอกประเทศ 8.68 ล้านคน

และญี่ปุ่นเปิดรับนักท่องเที่ยวระหว่างมกราคม-พฤศจิกายน 2567 มากถึง 148.09 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2566 ที่มีเพียง 105.21 ล้านคน

รวมถึงการเติบโตของผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อหัวที่สูงขึ้น ที่พร้อมยอมจ่ายเพื่อการเดินทางในรูปแบบใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากการเดินทางโดยเครื่องบิน เช่น เรือสำราญ ที่มีสินค้าปลอดภาษีจำหน่ายระหว่างการเดินทาง เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยไม่มีการเก็บข้อมูลมูลค่าตลาดดิวตี้ฟรีที่ชัดเจน แต่ตลาดนี้มีผู้เล่นหลักเพียงรายเดียวคือ คิงเพาเวอร์ ที่อยู่ในธุรกิจตลาดสินค้าปลอดภาษีในสนามบินและนอกสนามบิน เช่น คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ

ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2568 คิงเพาเวอร์ได้ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญากับ AOT หรือท่าอากาศยานไทย เพื่อยกเลิกสัญญาอนุญาตประกอบกิจการดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่

การยกเลิกสัญญานี้ คิงเพาเวอร์ให้เหตุผลเพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทางตรงและทางอ้อม เช่น การยกเลิกพื้นที่ขายดิวตี้ฟรีขาเข้าจากนโยบายภาครัฐ, การลดลงของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก และอื่น ๆ จนธุรกิจเกิดภาวะขาดทุนมาโดยตลอด

ที่ผ่านมา ภายใต้สนามบิน 5 แห่งของ AOT มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการทั้งในประเทศและระหว่างประเทศเติบโตขึ้นทุกปี

ปี 2566 จำนวน 78.68 ล้านคน

ปี 2567 จำนวน 101.33 ล้านคน

มกราคม-เมษายน 2568 จำนวน 45.50 ล้านคน

 

ถ้ามองไปที่ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศเพียงกลุ่มเดียว พบว่า

ปี 2566 จำนวน 26.81 ล้านคน

ปี 2567 จำนวน 76.63 ล้านคน

มกราคม-เมษายน 2568 จำนวน 27.85 ล้านคน

 

นอกจานี้ นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย จากข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า

ปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 35.54 ล้านคน

มกราคม-เมษายน 2568 จำนวน 12.10 ล้านคน

ซึ่งการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรก ในช่วงมกราคม-เมษายน 2568

แบ่งเป็น

จีน 1.65 ล้านคน

มาเลเซีย 1.52 ล้านคน

รัสเซีย 0.88 ล้านคน

อินเดีย 0.75 ล้านคน

เกาหลีใต้ 0.58 ล้านคน

สำหรับผลประกอบการของคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี อ้างอิงจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า ที่ผ่านมามีทั้งกำไรและขาดทุน

ปี 2562 รายได้รวม 8,554.62 ล้านบาท กำไร 756.76 ล้านบาท

ปี 2563 รายได้รวม 8,119.04 ล้านบาท ขาดทุน 1,833.18 ล้านบาท

โดยปี 2564 รายได้รวม 1,608.30 ล้านบาท ขาดทุน 2,814.49 ล้านบาท

ต่อมาปี 2565 รายได้รวม 17,748.19 ล้านบาท กำไร 3,751.82 ล้านบาท

สำหรับปี 2566 รายได้รวม 33,592.16 ล้านบาท ขาดทุน 651.51 ล้านบาท

ส่วนปี 2567 ยังมีการรายงานกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าตลาดดิวตี้ฟรีโลกและเอเชียแปซิฟิกยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ส่วน Duty Free ในประเทศไทยนั้นทิศทางเป็นอย่างไรต้องดูกันต่อไป

 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer