ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ได้สำเร็จเพราะคิดเก่ง แต่เพราะคิดเป็นระบบ

ในยุคที่แบรนด์ต้องสู้กันด้วยความต่าง “ผลิตภัณฑ์ใหม่” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือทางรอด หากไม่มีนวัตกรรม แบรนด์จะกลายเป็นของเดิมในตลาดที่เปลี่ยนตลอดเวลา และสุดท้ายจะถูกแทนที่โดยแบรนด์ที่สดกว่า ไวกว่า และเข้าใจผู้บริโภคดีกว่า

แต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ “เวิร์ก” ไม่ใช่แค่การมีไอเดียดี ๆ แล้วเดินหน้าทำเลย เพราะไอเดียดีแค่ไหน ถ้าไม่ผ่านกระบวนการที่ชัดเจน ก็มีโอกาสล้มเหลวเหมือนอีก 95% ของสินค้าที่เข้าสู่ตลาดแต่ไม่เคยถูกซื้อซ้ำ

New Product Development (NPD): กระบวนการคิดของมืออาชีพ

การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่มักเริ่มจาก 8 ขั้นตอน ได้แก่ การหาไอเดีย, คัดเลือก, พัฒนาแนวคิด, วิเคราะห์ตลาด, ออกแบบสินค้า, ทดสอบ, ทำตลาด และติดตามผล ซึ่งอาจดูซับซ้อน แต่สามารถสรุปง่าย ๆ ว่า “คิด – ทำ – ทดลอง – ปรับ”

สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นด้วย “ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า” ไม่ใช่ความคิดของคนในองค์กร การสำรวจพฤติกรรมเชิงลึก จึงมีค่ากว่าการถามคำถามปลายปิด และการสังเกตสิ่งที่ลูกค้าไม่พูดออกมา ก็อาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนของตลาด

ไอเดียที่ดีต้องมาจากหลายทาง ไม่ใช่แค่ทีม R&D

ไอเดียใหม่เกิดได้จาก 3 ทางหลัก คือ ภายในองค์กร ภายนอกองค์กร และนอกอุตสาหกรรมเดิม ฝ่าย R&D อาจเป็นแหล่งต้นแบบ แต่ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายบริการลูกค้า หรือแม้แต่พนักงานหน้าร้าน ก็มองเห็นโอกาสที่ทีมวิจัยไม่เคยเห็น

ภายนอกองค์กร เช่น ซัพพลายเออร์ ตัวแทนจำหน่าย หรือคู่แข่ง ก็เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญ เช่น การเห็นคู่แข่งออกสินค้าแบบหนึ่งแล้วลูกค้าตอบรับดี อาจกระตุ้นให้เราออกของที่ “เหนือกว่า ไม่ใช่แค่คล้ายกัน”

ส่วนแหล่งที่มักถูกมองข้าม คือ แบรนด์นอกอุตสาหกรรม เช่น โรงแรม 5 ดาวที่สร้างประสบการณ์ลูกค้าได้ดีกว่าแอร์ไลน์ หรือบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างบริการแบบ subscription ให้กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้อย่างแยบยล

สร้างพื้นที่ทดลองก่อนปล่อยจริง

แบรนด์ยุคใหม่ไม่ควรสร้างของขึ้นมาทั้งชิ้นแล้วค่อยลุ้นว่าตลาดจะเอาไหม แต่ควร “ทดลองตลาดย่อย” เช่น การทำ MVP (Minimum Viable Product) ออกมาก่อน ทดลองกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แล้วเก็บฟีดแบ็กมาปรับ

การทำ hackathon ภายในองค์กร การตั้ง innovation lab การเปิดพื้นที่ให้พนักงานเสนอไอเดีย หรือการร่วมมือกับลูกค้าเพื่อ co-create ผลิตภัณฑ์ใหม่ ล้วนเป็นแนวทางที่ลดความเสี่ยงและเพิ่มความแม่นยำในการลงทุน

อย่าหยุดแค่การเปิดตัว แต่ต้องวัดผลและปรับเรื่อย ๆ

หลายแบรนด์เข้าใจผิดว่าการเปิดตัวสินค้าคือจุดสิ้นสุดของการพัฒนา แต่จริง ๆ แล้ว มันคือ “จุดเริ่มต้น” ที่ต้องเข้าสู่กระบวนการติดตามผล วิเคราะห์พฤติกรรมจริง และรีบปรับตามอินไซต์ที่ได้

ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่แค่ “เปิดได้แรง” แต่คือ “อยู่ได้ยาว” โดยอาศัยการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

แนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

1.แนวคิด: ใช้เสียงของลูกค้า (Learning from Customers)

เมื่อโคคาโคล่าเปิดตัว Diet Coke ในอดีต มันเน้นเจาะกลุ่มผู้หญิงรุ่นใหม่ แต่เสียงจากลูกค้าผู้ชาย (โดยเฉพาะสายฟิตเนส) บอกว่าอยากได้ “โค้กแบบไม่มีน้ำตาล” ที่รสชาติเหมือนของจริงมากกว่า

โค้กจึงพัฒนา Coca-Cola Zero Sugar ที่รสใกล้เคียงโค้กดั้งเดิมที่สุด แต่ไม่มีน้ำตาล และใช้การตลาดแบบแมน ๆ วางตำแหน่งชัดเจน ส่งผลให้ขายดีถล่มทลายในหมู่คนรุ่นใหม่ และยังขยายฐานสู่คนที่รักสุขภาพแต่ยังโหยหาความคุ้นเคย

2.แนวคิด: เริ่มจากปัญหาของตลาด (Using Technology to Generate Ideas + Learning from Competitors)

ในยุคที่นมวัวกำลังถูกตั้งคำถามจากกลุ่มมังสวิรัติและคนแพ้นม Oatly มองเห็น “ช่องว่าง” ว่าคนต้องการเครื่องดื่มจากพืชที่รสชาติเหมือนนมวัวและใช้ชงกาแฟได้จริง จึงพัฒนาเทคโนโลยีเอนไซม์เฉพาะในการแปรรูปข้าวโอ๊ตให้มีเนื้อสัมผัสแบบครีม

นมข้าวโอ๊ต Oatly กลายเป็นขวัญใจร้านกาแฟและสายเฮลตี้ทั่วโลก ด้วยภาพลักษณ์สนุก มีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อม และรสสัมผัสที่ “ใช้แทนนมได้จริง”

3.แนวคิด: มาจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ใช้ใหม่ (Repurposing Existing Products + Learning from Other Industries (Culture)

KitKat เป็นขนมที่คุ้นเคยมานาน แต่ Nestlé Japan ปรับสูตรเดิมให้เข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยเปิดตัว KitKat รสชาเขียวมัทฉะ ซึ่งในตอนแรกเป็น limited edition ที่ทำให้ของเดิมกลายเป็นของพิเศษ และเล่นกับความเป็นญี่ปุ่นเพื่อการส่งออก

ปัจจุบัน KitKat Japan มีรสใหม่กว่า 300 รส และกลายเป็นของฝากระดับ iconic สำหรับนักท่องเที่ยว เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “สินค้าที่เดิมอยู่แล้ว” แต่ถูกตีความใหม่ในวัฒนธรรมใหม่

4.แนวคิด: แยกขายของในชุด (Unbundling Existing Offerings)

ก่อนหน้านี้คนดื่ม Frappuccino ได้เฉพาะในร้าน Starbucks แต่เมื่อบริษัทเห็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากอยากพกติดตัวหรือไม่มีร้านใกล้บ้าน จึงพัฒนาสูตรแบบขวดวางขายในร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลก

การนำ Frappuccino มาขายในรูปแบบ “แยกขายนอกร้าน” ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มแบบทวีคูณ และขยายโอกาสของแบรนด์ไปนอกสาขา

5.แนวคิด: นวัตกรรมจากภายในองค์กร( Internal Idea Generation + Learning from Culture)

ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ในไทยของ Lay’s มองเห็นว่าคนไทยมีความผูกพันกับ “อาหารท้องถิ่น” และชอบลองของใหม่เป็นระยะ พวกเขาจึงใช้ไอเดียที่ผสมระหว่าง Insight ท้องถิ่น + เทคโนโลยีการปรุงรส พัฒนารส “หมูกระทะ” “ชาบู” “ต้มยำกุ้ง” ฯลฯ

ผลลัพธ์คือ Lay’s กลายเป็นแบรนด์ขนมที่ผู้บริโภครอคอยว่า “รสถัดไปจะเป็นอะไร” และสร้างโมเมนตัมทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

สรุป: นวัตกรรมที่ยั่งยืน ต้องมีทั้งโครงสร้าง คน และวัฒนธรรม
การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ใช่หน้าที่ของทีมใดทีมหนึ่ง แต่คือวัฒนธรรมขององค์กรที่เปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วม แบรนด์ที่สร้างของใหม่ได้สม่ำเสมอ มักเป็นแบรนด์ที่ “เรียนรู้จากทุกมิติ” และ “พร้อมล้มเพื่อลุกไวกว่าเดิม”

เพราะในโลกที่เปลี่ยนเร็ว สินค้าใหม่ไม่ใช่แค่กลยุทธ์เชิงธุรกิจ แต่มันคือ DNA ของแบรนด์ที่อยากอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว🟥

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer