ซุย โจว วัย 30 ปี เข้าไปในห้องขนาดใหญ่ของอาคารแห่งหนึ่งเป็นประจำ ไม่ต่างจาก Gen Y และ Gen Z ที่ไปทำงานในบริษัท โดย “กลุ่ม” ของเขามีด้วยกัน 5 คน และเขาก็ทำงานอย่างมีความสุข เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทีมเดียวกัน
ทว่าแท้จริงแล้ว ห้องในอาคารดังกล่าวที่ ซุย โจว ไปทุกวัน กลับเป็นเพียงบริษัทหลอกๆ หรือบริษัทที่จำลองขึ้นให้เหมือนบริษัทจริงๆ ทุกอย่าง มีทั้งอุปกรณ์สำนักงาน คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะพร้อมอินเทอร์เน็ต โซนตู้กดน้ำ ซุ้มกาแฟ หรือแม้กระทั่งห้องประชุม
บริษัทหลอกๆ เหล่านี้ ถือเป็นไอเดียธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตในจีน ยืนยันได้จากการผุดขึ้นราวดอกเห็ดตามเมืองใหญ่ๆ เช่น เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ หรือเฉิงตู โดยธุรกิจใหม่นี้มาพร้อมข้อมูลน่าสนใจอันเป็นการสะท้อนปัญหาที่ว่า ลูกค้าส่วนใหญ่คือ Gen Y และ Gen Z ที่ว่างงาน ซึ่ง ซุย โจว ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ด้าน โจว เจอ ลูกค้าอีกคนของบริษัทหลอกๆ กล่าวว่า รู้จักธุรกิจนี้ผ่านโซเชียลมีเดีย และรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมแบบออฟฟิศจะช่วยสร้างวินัยให้ตัวเองได้ โดยหากนับถึงปัจจุบันก็เป็นลูกค้าประจำมานานกว่าสามเดือนแล้ว เพราะได้ความรู้สึกเหมือนทำงานจริง อีกทั้งยังส่งรูปออฟฟิศไปให้พ่อแม่ดูเพื่อความสบายใจได้อีกด้วย
แม้จะเข้าออกตอนไหนก็ได้ แต่โจว เจอ มักจะมาถึงออฟฟิศหลอกๆ นี้ช่วง 8-9 โมงเช้า และบางวันก็อยู่ยาวถึง 5 ทุ่ม พวกเขาสนิทกันเหมือนเพื่อน เวลาใครยุ่งกับการหางาน ทุกคนก็จะตั้งใจทำงาน แต่เมื่อมีเวลาว่างก็จะพูดคุย เล่นมุกตลก หรือเล่นเกมด้วยกัน และบ่อยครั้งก็ไปทานมื้อค่ำด้วยกัน ไม่ต่างจากพนักงานบริษัทที่เลิกงาน

ส่วน เสี่ยวเหวิน ถัง บัณฑิตจบใหม่วัย 23 ปี เผยว่า เคยเช่าโต๊ะทำงานในออฟฟิศจำลองที่เซี่ยงไฮ้เป็นเวลาหนึ่งเดือน เพราะมหาวิทยาลัยของเธอมีกฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่า นักศึกษาต้องมีสัญญาจ้างงานหรือหลักฐานการฝึกงานภายในหนึ่งปีหลังเรียนจบ มิฉะนั้นจะไม่ได้รับใบปริญญา
ดังนั้นเธอจึงถ่ายรูปในออฟฟิศหลอกๆ ส่งไปให้มหาวิทยาลัยเพื่อเป็นหลักฐานการฝึกงาน แต่ในความเป็นจริง เธอจ่ายค่าบริการรายวันเพื่อเข้าไปนั่งเขียนนิยายออนไลน์หาเงินค่าขนม เพราะเห็นว่าไหนๆ จะสร้างภาพแล้ว ก็ต้องไปให้สุด
ดร. คริสเตียน เหยา นักวิชาการด้านเศรษฐกิจจีน วิเคราะห์เทรนด์ออฟฟิศหลอกๆ ที่กำลังเติบโตในจีนว่า มันแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ตกงานหรือยังว่างงาน ต้องการพื้นที่สำหรับคิดทบทวนก้าวต่อไป หรือหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ขณะที่ ดร. เปียว เซียง ผู้อำนวยการสถาบันมานุษยวิทยาสังคมมักซ์พลังค์ในเยอรมนี มองว่าเทรนด์นี้เกิดจากความรู้สึกคับข้องใจและไร้อำนาจต่อการขาดโอกาสในการทำงานของ Gen Y – Gen Z ในจีน แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องสร้างภาพ เพราะกลัวจะทำให้ครอบครัวผิดหวัง หรือถูกสังคมตัดสินว่าเป็นคนล้มเหลว
เทรนด์นี้เกิดขึ้นขณะที่จีนมีปัญหาการว่างงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 14% ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยยังถือเป็นตัวอย่างล่าสุดที่สะท้อนถึงความเครียดเรื่องงานในหมู่คนรุ่นใหม่ของจีน ต่อเนื่องมาจากเทรนด์ต่างๆ ก่อนหน้านี้
เช่น ทัพคนรุ่นใหม่ที่ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรเพื่อให้ได้งาน หรือที่เรียกกันว่า “วัยรุ่นจุดธูป” ทั้งที่นี่ควรเป็นกิจกรรมของคนรุ่นพ่อแม่หรือผู้สูงอายุ
ต่อด้วยการนั่งรถทัวร์หรือรถไฟราคาประหยัดเที่ยวข้ามเมือง ที่เรียกกันว่า “ทริปก้นเหล็ก” เพราะอยากหนีความเครียดจากงานหรือเครียดที่ยังหางานทำไม่ได้
รวมไปถึงการที่บัณฑิตปริญญาโทหรือปริญญาเอกยอมไปเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือแม้กระทั่งภารโรงตามโรงเรียน เพราะต้องหาเลี้ยงชีพไปก่อนในช่วงที่ยังหางานไม่ได้
เทรนด์เหล่านี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาการว่างงานในหมู่ชาวจีนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนว่า จีนกำลังเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศจะช้าลงไป เพราะคนรุ่นใหม่พลาดโอกาสที่จะทำงานตรงสาย หลังครอบครัวส่งให้เรียนสูงๆ และตัวคนรุ่นใหม่เองก็ใช้เวลาเรียนไปหลายปี / bbc
