Competitive Advantage คืออะไร
Competitive Advantage หรือ “ความได้เปรียบในการแข่งขัน” คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์หนึ่งโดดเด่นและเหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพสินค้า ราคาที่ดีกว่า นวัตกรรมที่แตกต่าง หรือภาพลักษณ์ที่สร้างคุณค่าในใจผู้บริโภค จุดแข็งเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถรักษาลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
การค้นหาความได้เปรียบในการแข่งขัน
บริษัทจะเริ่มจากการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เทียบกับโอกาสและภัยคุกคามในตลาด หรือที่เรียกว่า SWOT Analysis เพื่อมองหาว่าแบรนด์มี “อะไร” ที่ทำได้ดีกว่าคนอื่นจริง ๆ จากนั้นจึงต่อยอดให้กลายเป็นความแตกต่างที่ลูกค้ารับรู้และยินดีจ่าย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะ การสร้างเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่เข้มแข็ง หรือการบริการที่เหนือความคาดหมาย
โมเดล Competitive Advantage ของ Porter
Michael Porter นักกลยุทธ์ชื่อดังได้เสนอ 3 แนวทางหลักที่บริษัทใช้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่
- Cost Leadership การเป็นผู้นำด้านต้นทุนต่ำ เน้นการผลิตและจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถขายในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง เช่น Big C หรือ Lotus’s ที่ใช้ Economy of Scale ทำให้เข้าถึงสินค้าได้ในราคาประหยัด
- Differentiation การสร้างความแตกต่างในสินค้า บริการ หรือประสบการณ์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ไม่เหมือนใคร เช่น Oishi ที่บุกเบิกชาเขียวในไทยจนกลายเป็นผู้นำตลาด หรือ Greyhound Original ที่ใช้ดีไซน์แฟชั่นเฉพาะตัว
- Focus Strategy การเลือกเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และตอบสนองความต้องการได้ดีกว่าคู่แข่ง เช่น Srichand ที่เลือกสร้างภาพลักษณ์เป็นเครื่องสำอางไทยคุณภาพสูงสำหรับผู้หญิงเอเชีย หรือ Café Amazon ที่เน้นจับตลาดคนเดินทางและผู้ใช้บริการปั๊มน้ำมัน
สรุป
Competitive Advantage ไม่ใช่เพียงการทำสิ่งที่ดีกว่า แต่คือการค้นหา “สิ่งที่แตกต่างและลูกค้าเห็นคุณค่า” การเข้าใจโมเดลของ Porter จะช่วยให้บริษัทวางกลยุทธ์ได้ชัดเจนขึ้น ว่าจะเลือกชนะด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง แตกต่างจนเป็นที่จดจำ หรือโฟกัสเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ที่สุด 🟥
