แก้วเก็บความเย็นนอกจากคุณสมบัติกักเก็บอุณหภูมิแล้ว ยังจำเป็นต้องมีดีไซน์ดึงดูด สะดุดตา สะท้อนตัวตนของผู้ใช้ ไม่ใช่แค่ขายแก้ว แต่ต้องขายสไตล์
ไม่นานมานี้หลายคนคงได้เห็นแก้วสีสันฉูดฉาดน่ารักผ่านตากันมาไม่น้อย และนี่คือแก้วจาก Tagi แบรนด์ฮิตแบรนด์ใหม่ของจีน เป็นไอเท็มฮิตที่ใครไปจีนต้องหิ้วกลับมาฝาก
Tagi เป็นแบรนด์ของประเทศจีน ก่อตั้งมาได้เพียง 6 ปี เริ่มในปี 2019 ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงในเรื่องดีไซน์ที่น่ารัก ชวนฝัน ขี้เล่น มีชีวิตชีวา ซึ่งสินค้าแบรนด์นี้พบได้ในร้านค้าและป๊อปอัพทั่วประเทศจีน
สินค้ามีทั้งเครื่องประดับ แฟชั่น ของใช้ในบ้าน ดีไซน์เอกลักษณ์สีสันสดใส น่ารัก สะดุดตา แบรนด์ใช้สีสันฉูดฉาดและแนวคิดการสร้างพื้นที่สดใสเติมชีวิตชีวาให้กับวัยผู้ใหญ่ ที่ต้องการปรับสภาพแวดล้อมทางอารมณ์ให้ลูกค้าได้เยียวยาจิตใจ
เน้นขายคุณค่าทางอารมณ์ให้กับลูกค้า ซึ่งเหล่า Brand Lover ของ Tagi เรียกการซื้อสินค้าสุดคิ้วท์เช่นนี้ว่า “ภาษีโดปามีน” หรือการซื้อที่ยอมจ่ายเพื่อแลกกับการเติมฮอร์โมนความสุข
แบรนด์ขยายออนไลน์ไปพร้อมกับออฟไลน์ หลังจากปี 2019 Tagi ได้เปิดตัวร้านค้าออนไลน์บน Taobao เป็นช่องทางการขายแรกของบริษัท เพียงหนึ่งปีต่อมาก็เปิดป๊อปอัพเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และการมีส่วนร่วมของลูกค้า บนถนน Urumqi Middle Road เซี่ยงไฮ้ รูปแบบสโตร์ค่อนข้างเรียบง่าย มินิมอล จากนั้นก็ขยายป๊อปอัปไปตามเมืองต่าง ๆ เช่น เฉิงตู ปักกิ่ง เซินเจิ้น และซีอาน
ขณะเดียวกันในโลกออนไลน์ แบรนด์นี้มีชื่อเสียงอย่างมากทางอินเทอร์เน็ต มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ Xiaohongshu (RED) สูงถึง 145,700 คน และ 59,000 คนบน Weibo ซึ่งถือเป็นจำนวนผู้ติดตามที่มากสำหรับแบรนด์เฉพาะกลุ่มเช่นนี้
กลุ่มลูกค้าหลักของ Tagi คือคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองระดับ 1 และ 2 โดยเฉพาะหญิง Gen Z อายุระหว่าง 18-35 ปี ที่มองหาความเป็นตัวเอง ครีเอทิฟ และมีสไตล์
ราคาสินค้ามีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันบาท ตัวอย่าง ขวดน้ำสุญญากาศราคาบน Tmall ราว 229 หยวน (1,018 บาท) ขณะที่ขวดน้ำ Lock & Lock ราคาเพียง 119 หยวน (530 บาท)
ในทำนองเดียวกันHadou Storage Bagหรือกระเป๋าใส่เครื่องสำอางของ Tagi ซึ่งเป็นสินค้าขายดีรองจากแก้วน้ำสนนราคาอยู่ที่ 199 หยวน (884 บาท)
นอกจากสินค้าเดิมอย่างเคสโทรศัพท์ แก้วน้ำ และกระเป๋าแล้ว ทางร้านยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมเสื้อผ้า รองเท้า หมวก และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยแบรนด์จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ซีรีส์ใหม่ทุกสองเดือน
สิ่งที่แบรนด์อื่นสามารถเรียนรู้ได้
1. การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
อย่าง Tagi ที่มุ่งเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ในหัวเมืองชั้นนำ แบรนด์ก็รู้ว่าความชอบ พฤติกรรม และไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร จึงให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ ดีไซน์ ที่ต้องโดดเด่น สร้างสรรค์ ให้คุณค่าทางอารมณ์ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตในเมือง ให้ลูกค้าภูมิใจที่จะถือแก้ว Tagi ไปในที่ต่างๆ 
2. เน้นคุณภาพและนวัตกรรม
ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ดีไซน์โดดเด่นต่างจากคู่แข่ง ซึ่งผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับสินค้าพรีเมียมที่มีการออกแบบที่ดี หากสินค้าคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย คนจะไม่ต้องสงสัยในราคาสินค้า
3. ทันเทรนด์อย่าล้าหลัง
ปรับตัวตามเทรนด์แฟชั่น ดีไซน์ และไลฟ์สไตล์ให้ทันอยู่เสมอ ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ด้วยการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่หรือสินค้ารุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นเพื่อกระตุ้นการซื้อ และเพื่อรักษาตำแหน่งให้ตนอยู่ในกระแสตลอด
นอกจากนั้นยังต้องขยับตัวทำอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา เช่น ไปคอลแลบส์ข้ามขั้วกับแบรนด์กาแฟและเบเกอรี่อย่าง DRUNK BAKER ทำที่วางโทรศัพท์มือถือขนมหวานรูปปัง เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าในวงการอาหารให้หันมาสนใจแบรนด์ได้
4. อย่ามองข้ามการสร้างตัวตนในออนไลน์
ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเต็มที่ ยิ่งถ้ากลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่ด้วยแล้วนั้น ยิ่งต้องมีตัวตนให้ค้นหาได้ทางออนไลน์ อย่าง Tagi ก็มีหน้าร้านในออนไลน์ทั้ง WeChat, Weibo, Xiaohongshu และ Douyin เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย พัฒนากลยุทธ์อีคอมเมิร์ซที่ผสานรวมเข้ากับคอนเทนต์ส่งเสริมการขาย เช่น แฟลชเซลล์ กิจกรรมถ่ายทอดสด และโปรโมชั่นออนไลน์
ทั้งนี้ การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ คนดัง ยังคงได้ผลดีอยู่ ช่วยเพิ่มการมองเห็นและความน่าเชื่อถือของแบรนด์
5. สร้างออฟไลน์ออฟไลน์ควบคู่กันไป
อาจต้องมีหน้าร้านหรือป๊อปอัพเพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมให้กับลูกค้า โดยรักษาความสอดคล้องระหว่างภาพลักษณ์แบรนด์ในออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป
Photo : Tagi Instagram, WaiSocial
