ดุสิตธานี เมื่อซีอีโอลาออก ใครจะเป็นผู้นำยุคใหม่ และจะพาองค์กรไปต่ออย่างไร

วันนี้ “ดุสิตธานี” กำลังเผชิญมรสุมเขย่าความมั่นคงของอาณาจักรอีกครั้ง

เพราะในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงระอุ

ศุภจี สุธรรมพันธุ์  CEO กลุ่มดุสิตธานี ก็ตัดสินใจก้าวลงสู่สนามการเมือง

แน่นอน เธอต้องลาออก  ทิ้งดุสิตธานีให้ค้นหาผู้นำคนใหม่ในห้วงเวลาสำคัญ

ศุภจี คือผู้บริหารคนแรกนอกตระกูลของดุสิตธานีที่เข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อปี 2559 และเป็นช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรแห่งนี้อย่างมากมาย จากการปรับโครงสร้างธุรกิจ ที่มุ่งเน้นความหลากหลาย ลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 17.00 น. ข่าวใหญ่ ศุภจีตอบรับเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ได้เกิดขึ้น

ทว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น ทีมงานดุสิตธานีเพิ่งปล่อยบทความพิเศษ “ก้าวเดินของดุสิตธานี จากมูลค่าที่ซ่อนอยู่ สู่ศักยภาพไม่มีที่สิ้นสุด จากรากฐานที่มั่นคง สู่รายได้กว่า 10,000 ล้านบาท”

แม้เนื้อหาไม่ได้พูดตรง ๆ ว่า ศุภจีเตรียมส่งไม้ต่อ แต่ถ้าอ่าน “ระหว่างบรรทัด” จะเห็นว่าเนื้อหามีลักษณะเหมือน “การโชว์ว่าบริษัทถูกวางรากฐานไว้เรียบร้อยแล้ว”

เนื้อหาสำคัญของบทความโดยสรุป เช่น

จากรายได้ 5,000 ล้านบาท ผ่านมา 10 ปี ทะยานสู่ 10,000 ล้านบาท

แม้ว่า สิ่งที่ปรากฏในงบการเงินของ “ดุสิตธานี” ในวันนี้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ คือผลขาดทุนสะสมกว่า 1,250 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทฯ งดจ่ายเงินปันผลตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา แต่ “ความจริง” ก็คือ บริษัทฯ กำลังสร้าง “รายได้” ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนถึงเท่าตัว

จากปี 2557 ที่กลุ่มดุสิตธานีมีรายได้รวม 5,370 ล้านบาท เพิ่มเป็น 11,204 ล้านบาทในปี 2567 และกำลังจะเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น

เพราะจุดเปลี่ยนที่กำลังจะมาถึง คือการรับรู้รายได้จากการขายโครงการ “ดุสิต เรสซิเดนเซส” (Dusit Residences) ที่ขายไปแล้ว 90% มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนในช่วงปลายปีนี้จนถึงปี 2569

รวมถึงโรงแรมอีกกว่า 50 แห่งทั่วโลกที่อยู่ในแผนการขยายธุรกิจของดุสิตธานี

มองให้ไกลกว่า “ขาดทุน” จะพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่

จากธุรกิจที่มีเพียง 2 ธุรกิจหลัก วันนี้ ดุสิตธานีขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องไปถึง 5 ธุรกิจ

จากโรงแรมและวิลล่า 27 แห่ง เพิ่มเป็น 297 แห่ง โดยเป็นโรงแรม 57 แห่ง และวิลล่า 240 หลัง

จากจุดหมายปลายทางใน 8 ประเทศทั่วโลก ขยายสู่ 18 ประเทศทั่วโลก

และจากแบรนด์โรงแรม 4 แบรนด์ วันนี้ ดุสิตธานีมีแบรนด์ภายใต้การบริหารถึง 9 แบรนด์ ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า

ที่สำคัญกว่านั้น คือ ดุสิตธานีเชื่อว่า คนคือหัวใจสำคัญ ปัจจุบันดุสิตธานีมีพนักงานกว่า 20,000 คนทั่วโลก แม้ในช่วงที่ต้องเผชิญความยากลำบากท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 แต่ “ดุสิตธานี” ยังคงยืนยันที่จะลงทุนใน “ทุนมนุษย์” โดยไม่มีนโยบายปลดพนักงาน

เนื้อหาของบทความชิ้นนี้ยังระบุว่า การลงทุนกว่า 46,000 ล้านบาทในโครงการ Dusit Central Park คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว

สร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน สะท้อนจากเครดิตเรทติ้ง “BBB-” แนวโน้มคงที่ โดยทริสเรทติ้ง และการยอมรับระดับโลก ทั้งรางวัล Michelin Key และ Travel + Leisure Luxury Awards

พร้อม ๆ กับการดำเนินงานควบคู่ความยั่งยืนและธรรมาภิบาล

เมื่อผู้นำคนเก่าพยายามบอกว่า สิ่งที่เธอทิ้งไว้คือ “รากฐาน” ที่มั่นคง และทิศทางการเติบโตที่ชัดเจน

คำถามต่อไปก็คือ แล้วใครจะเป็นผู้นำยุคใหม่ของ ดุสิตธานี และจะพาองค์กร ก้าวข้ามวิกฤต และปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ สู่การเติบโตที่ยั่งยืนได้หรือไม่อย่างไร

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer