สัดส่วนการถือครองหุ้นของครัวเรือนอเมริกันพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 45% ของสินทรัพย์การเงินทั้งหมดในไตรมาส 2 ปีนี้ ตามข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สะท้อนถึงการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นและการเข้าร่วมลงทุนโดยตรงของชาวอเมริกันที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงหากตลาดพลิกกลับตัวร่วงลง

แรงหนุนสำคัญมาจากการที่ดัชนีหุ้นสหรัฐทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดย S&P 500 ปรับขึ้นแล้ว 33% นับจากจุดต่ำสุดเมื่อ 8 เมษายน และพุ่ง 13% ตั้งแต่ต้นปี 2025 พร้อมทำสถิติสูงสุดถึง 28 ครั้งในปีนี้

กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นเชื้อเพลิงหลักให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Nvidia พุ่งแรง จนกลุ่ม “Magnificent Seven” (Alphabet, Amazon, Apple, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla) ครองส่วนแบ่งเกือบ 41% ของกำไรใน S&P 500 ปีนี้ และครองมูลค่าตลาดถึง 34% ของดัชนี

เจฟฟรีย์ โรช หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ LPL Financial เตือนว่า “ผลกระทบจากการพุ่งขึ้นหรือร่วงลงของตลาดหุ้นจะทรงพลังต่อเศรษฐกิจมากกว่าทศวรรษก่อนอย่างชัดเจน” ขณะที่จอห์น ฮิกกินส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดของ Capital Economics ชี้ว่าการถือครองหุ้นของชาวอเมริกันได้แซงหน้าช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก่อนฟองสบู่ดอตคอมแตก

“นี่คือสัญญาณเตือน แม้ตลาดจะยังพุ่งต่อจากกระแส AI” เขากล่าว พร้อมคาดว่า S&P 500 จะยังมีโอกาสทำกำไรเพิ่มในปีนี้และปีหน้า แต่การถือครองหุ้นที่สูงมากถือเป็น “ธงแดง” ที่ต้องจับตา

นักกลยุทธ์จาก Ned Davis Research ระบุว่า ระดับการถือหุ้นสูงเป็นประวัติการณ์ในอดีตมักตามมาด้วยความเสี่ยงผลตอบแทนต่ำในระยะยาว

“นักลงทุนไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนระดับสูงเหมือนทศวรรษที่ผ่านมา” ร็อบ แอนเดอร์สัน กล่าว พร้อมประเมินว่าผลตอบแทนอาจชะลอลงใน 10 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติเองก็เพิ่มการถือครองหุ้นสหรัฐแตะระดับสูงสุดเช่นกัน ทำให้ความผันผวนของตลาดมีผลต่อระบบเศรษฐกิจโลกยิ่งขึ้น

เศรษฐกิจสองขั้ว: คนรวยได้ประโยชน์ คนจนเผชิญแรงกดดัน

แม้ตลาดหุ้นคึกคัก แต่ตลาดแรงงานสหรัฐกลับเริ่มชะลอตัว ก่อให้เกิดสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เศรษฐกิจรูปตัว K” กลุ่มคนมั่งคั่งที่มีสินทรัพย์ในตลาดหุ้นเพิ่มความมั่งคั่งและใช้จ่ายมากขึ้น ในขณะที่ชนชั้นแรงงานที่พึ่งพารายได้จากการทำงานกลับรู้สึกถูกจำกัดกำลังซื้อ

ข้อมูลจาก Moody’s Analytics ชี้ว่า กลุ่มผู้มีรายได้สูงสุด 10% (มากกว่า 353,000 ดอลลาร์ต่อปี) ครองสัดส่วนการใช้จ่ายผู้บริโภคถึง 49% ในไตรมาส 2 สูงสุดตั้งแต่ปี 1989

ภาพนี้แม้จะช่วยพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็ปิดบังปัญหาความเปราะบางของคนรายได้น้อย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบรุนแรงหากตลาดหุ้นเกิดร่วงลง และทำให้คนรวยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการใช้จ่ายเริ่มระมัดระวัง

นักวิเคราะห์เตือนตรงกันว่า แม้การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นจะสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ลงทุน แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะหากเกิดภาวะตลาดปรับฐาน ความมั่นคงทางการเงินของทั้งประเทศอาจถูกสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ /   cnn

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer