🟥 จุดเริ่มและสถานการณ์

1.จุดเริ่มต้นของคดีที่สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม
อย. ตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์เกินมาตรฐานใน “ยาดมหงส์ไทย สูตร 2” ล็อต 000332 กลายเป็นเหตุเรียกคืนสินค้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยาดมไทย

อ่าน : หงส์ไทย จะฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่ ล็อตเดียวกระเทือนทั้งแบรนด์

2.คำสั่งเรียกคืนที่ทำให้ทั้งตลาดสะเทือน
อย. ประกาศเรียกคืนสินค้าทั่วประเทศอย่างเปิดเผย เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสร้างความโปร่งใส แต่การประกาศนี้กลับกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนทั้งวงการ

3.คำชี้แจงจากหงส์ไทย: ล็อตเก่าแต่รับผิดชอบเต็มที่
บริษัทหงส์ไทยยืนยันว่าเป็นล็อตเก่าผลิตปลายปี 2567 และได้เรียกคืนคืนเงินเต็มรูปแบบ พร้อมประกาศตรวจสอบระบบผลิตภายในใหม่ทั้งหมด

4.จากห้องแล็บสู่โรงงานจริง
เจ้าหน้าที่ อย. และตำรวจ ปคบ. ลงพื้นที่ตรวจโรงงานและคลังสินค้า พบการผลิตบางส่วนอยู่นอกสถานที่ได้รับอนุญาต พร้อมของกลางกว่า 3 ล้านชิ้น มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

5.คดีที่ลุกลามเกินกว่าคุณภาพสินค้า
สิ่งที่เริ่มจากปัญหาทางเทคนิค กลับกลายเป็นคดีอาญาด้านการผลิตโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทำให้แบรนด์หงส์ไทยต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล

6.ภาพข่าวที่กลายเป็นไวรัลทั่วประเทศ
ภาพเจ้าหน้าที่บุกตรวจและยึดของกลางเผยแพร่ทั่วสื่อ ทำให้ประชาชนจำนวนมากตกใจและตลาดยาดมทั้งระบบชะงักทันที

🟥 โครงสร้างตลาดยาดมไทย

1.ตลาดยาดมไทย: เล็กแต่ยั่งยืน
แม้มูลค่าราว 3,000 ล้านบาทต่อปี แต่ยาดมถือเป็นสินค้าที่อยู่คู่สังคมไทยและมีอัตราการใช้ต่อเนื่องสูงในทุกกลุ่มอายุ

2.เจ้าตลาดเดิมคือยาดมแผนปัจจุบัน

ผู้เล่นหลักในตลาดมีอยู่ประมาณ 6–8 แบรนด์ใหญ่ ครองตลาดกว่า 80% เช่น โป๊ยเซียน ,เซียงเพียว, เปปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์  ครองตลาดมายาวนาน ด้วยภาพจำของความแรงและความเย็นที่ปลุกสมองโล่งในทันที ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาดมแผนปัจจุบัน สูตรน้ำ

3.คลื่นลูกใหม่จากสมุนไพรไทย
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ยาดมสมุนไพรกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติ

4.หงส์ไทย: ผู้ช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากยาดมแผนปัจจุบัน
หงส์ไทยสร้างจุดขายใหม่ผ่านกลิ่นอโรมา และถูกจุดประกายโดย “ลิซ่า”  จนกลายเป็นของฝากยอดนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ หงส์ไทย ถือเป็นยาดมสมุนไพร ที่มีเนื้อสมุนไพรเป็นส่วนผสม และสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากยาดมแผนปัจจุบันมาได้

5.เมื่อหงส์ไทยบูม แบรนด์อื่นก็ลุกตาม
ความสำเร็จของหงส์ไทยจุดประกายให้เกิดแบรนด์สมุนไพรหน้าใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ผลิตท้องถิ่นอีกนับสิบ

6.ตลาดยาดมเปลี่ยนสถานะจาก ยาเป็น ไลฟ์สไตล์
ผู้บริโภคเริ่มมองยาดมเป็นของใช้ประจำวันหรือของฝากมากกว่ายา แต่ตลาดใหม่นี้ยังไม่มีมาตรฐานกลางรองรับ

🟥 ทำไม อย.ต้องเล่นใหญ่ ทุบหงส์ไทยจมดิน

1.ตามอำนาจกฎหมาย อย. มีดุลยพินิจทำแบบเงียบได้

  • ใน พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยา–อาหาร อย. มีสิทธิสั่ง “เรียกคืนโดยตรง” หรือ “ออกคำสั่งให้ผู้ผลิตแก้ไข/ระงับการจำหน่าย” โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสื่อ
  • การดำเนินการเงียบ เช่น ตักเตือน เรียกผู้ประกอบการเข้าพบ สั่งให้ระงับการจำหน่ายเฉพาะช่วงเวลา หรือให้เรียกคืนในวงจำกัด เป็นสิ่งที่ อย. ใช้บ่อยในกรณีที่สินค้าไม่ได้กระทบวงกว้าง
  • ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบางชนิด หรือยาใช้ภายในโรงพยาบาล มักถูก “เรียกคืนภายใน” โดยไม่แถลงข่าว

2.แต่ในกรณีหงส์ไทย อย. เลือกไม่ได้เพราะสินค้ากระจายทั่วประเทศ

  • หงส์ไทยจำหน่ายทั้งในร้านสะดวกซื้อ ร้านของฝาก และออนไลน์ รวมถึงส่งออกต่างประเทศ
  • หากสั่งเก็บแบบเงียบ จะเสี่ยงให้สินค้าหลุดออกสู่ผู้บริโภคต่อไป ซึ่งอาจกลายเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่”
  • อีกทั้งถ้าภายหลังมีคนเจ็บป่วยจากสินค้าล็อตนั้น จะกลายเป็นข้อครหาหนักกว่าเดิม ว่า “อย. ปิดบังข้อมูลต่อสาธารณะ”

3.ในยุคสื่อไว ข้อมูลรั่วง่าย การ เงียบอาจถูกตีความเป็นงุบงิบ

  • ต่อให้ อย. ตั้งใจทำแบบเงียบ ข้อมูลในยุคนี้รั่วไหลได้ง่าย  พนักงานบริษัทหรือผู้ค้าปลีกอาจโพสต์หรือส่งต่อในโซเชียล
  • เมื่อข่าวหลุดออกมาโดยไม่มีคำชี้แจงจากทางการ จะยิ่งถูกมองว่า “มีการปกปิด” หรือ “ดีลลับหลังฉาก”
  • อย. จึงมักเลือก “เปิดเผยทั้งหมด” เพื่อควบคุมทิศทางข้อมูลด้วยตนเอง

4.แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า การแถลงข่าวใหญ่โตอาจเกินจำเป็น

  • นักวิชาการด้านสื่อสารสาธารณะมองว่า อย. ควรใช้ “การสื่อสารเชิงเทคนิค” มากกว่าการสื่อสารเชิงอารมณ์
  • แทนที่จะจัดบุกโรงงาน–ตั้งโต๊ะแถลง อาจใช้วิธี “แจ้งอย่างเป็นทางการในเว็บไซต์” หรือ “ออกเอกสารแจ้งเตือนผู้บริโภค”
  • เพราะการสื่อสารแบบตำรวจ–คดี ทำให้ภาพลักษณ์องค์กรดูเป็นเชิงลงโทษมากกว่าคุ้มครอง

🟥 หงส์ไทยโตแล้ว การเติบโตต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ

1.เมื่อแบรนด์โต ระดับความรับผิดชอบก็ต้องโตตาม

หงส์ไทยเริ่มจากแบรนด์สมุนไพรขนาดเล็กในตลาดของฝาก แต่พอประสบความสำเร็จจนขยายกำลังการผลิต ส่งออกต่างประเทศ และมีมูลค่าทางการตลาดระดับร้อยล้านบาท สถานะทางกฎหมายและสังคมของแบรนด์ก็เปลี่ยนโดยอัตโนมัติ

“จากของทำมือ กลายเป็นอุตสาหกรรมสุขภาพ”

2.อย. มองหงส์ไทยในฐานะ ผู้ประกอบการรายใหญ่แล้ว

เมื่อมีโรงงานหลายแห่ง มีการส่งออก และขายผ่านแพลตฟอร์มทั่วประเทศ อย. ย่อมต้องใช้มาตรฐานเดียวกับผู้ผลิตรายใหญ่ ไม่ใช่มาตรฐานของ SME เพราะขอบเขตความเสี่ยงขยายไปถึงผู้บริโภคในหลายประเทศ

3.การผลิต นอกใบอนุญาตจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่

ถ้าเป็นผู้ผลิตรายย่อย อาจถูกเรียกไปปรับปรุงหรือให้เวลาแก้ไข
แต่เมื่อเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ การผลิตนอกสถานที่ได้รับอนุญาต หรือแม้แต่เพียงบางส่วนถูกมองว่า “ละเมิดความไว้วางใจของสังคม” มากกว่าการละเมิดกฎหมายธรรมดา

4.ความสำเร็จมาพร้อมกับความคาดหวัง

สังคมไทยมองหงส์ไทยในฐานะตัวแทน Soft Power ของสมุนไพรไทย
ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหา ผู้บริโภคไม่ได้ผิดหวังแค่ในสินค้า แต่รู้สึกเหมือน “ความภูมิใจของแบรนด์ไทยถูกหักหลัง”

นี่คือเหตุผลว่าทำไมแรงปะทะของคดีนี้จึงรุนแรงกว่าที่เห็น

5.“อย่าบอกว่าไม่รู้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อธุรกิจโตถึงระดับมีระบบโรงงาน ทีมผลิต และฝ่ายตลาดครบแล้ว การบอกว่า “ไม่รู้ว่าผลิตนอกสถานที่” หรือ “ไม่ทราบกระบวนการบางขั้นตอน” จะกลายเป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

6.นี่คือจุดเปลี่ยนจาก SME สู่ Corporate Responsibility

แบรนด์ที่เติบโตต้องเปลี่ยนจาก mindset ของ “ผู้ผลิตเพื่อขาย” เป็น “องค์กรที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและมาตรฐานสังคม” กรณีนี้จึงกลายเป็นเหมือน “พิธีกรรมแห่งการเติบโต” ของธุรกิจสมุนไพรไทยยุคใหม่

🟥 คำถามที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ

1.หงส์ไทยจะพลิกฟื้นธุรกิจและเรียกความศรัทธาต่อแบรนด์กลับมาได้หรือไม่

2.อุตสาหกรรมการผลิตยาดมสมุนไพรของไทย ในระดับเอสเอ็มอีจะได้รับผลกระทบกระเทือนแค่ไหน และถ้า อย.จะนำมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ใหญ่ ยาดมสมุนไพรไทยจะเหลือสักกี่แบรนด์

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer