ขณะที่บรรดาบริษัทกลุ่มยักษ์เทคฯ แข่งกันเรื่องเอไอแบบไม่มีใครยอมใคร รัฐบาลประเทศต่างๆ ก็แข่งกันประกาศแผนด้านนี้เช่นกัน โดยหนึ่งในประเทศที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ ซาอุดีอาระเบีย 

เพราะล่าสุดเพิ่งเผยเป้าหมายครั้งสำคัญ พร้อมเงินลงทุนมหาศาล ที่เหล่ายักษ์เทคขอเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งหากสำเร็จตามแผน ยักษ์น้ำมันอาจกลายมาเป็นเบอร์ใหญ่ด้านเอไอ

Humain บริษัทเทคโนโลยีของซาอุฯ ที่มีเงินจากกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (PIF) หนุนหลังอยู่ กำลังสร้างระบบนิเวศเอไอแบบครบวงจร ไล่ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูล ระบบคลาวด์ และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ไปจนถึงแอปพลิเคชันต่างๆ 

โครงการนี้มีการประกาศขึ้นครั้งแรกโดยมกุฎราชกุมารโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน เมื่อเดือนพฤษภาคม และมีการย้ำอีกครั้งก่อนการมาเยือนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในงานประชุม Future Investment Initiative (FII) เมื่อปลายตุลาคมที่ผ่านมา 

ทาเร็ก อามิน ซีอีโอของ Humain เผยว่า ตั้งเป้าพัฒนาให้ ซาอุฯ ขึ้นมาเป็นตลาดเอไอใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน 

แม้จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ แต่อามินชี้ว่าซาอุฯ มี แต้มต่อที่สำคัญเหนือใคร นั่นคือ แหล่งน้ำมันปริมาณมหาศาลและราคาถูก ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการด้านพลังการประมวลผลของเอไอที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดได้ นี่จึงทำให้ซาอุฯ ไม่จำเป็นต้องสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยหรือระบบส่งกำลังไฟฟ้ามายังดาต้าเซ็นเตอร์เอง 

ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้มียักษ์เทคอย่าง Nvidia, AMD, Amazon Web Services (AWS), Qualcomm และ Cisco มาเข้าร่วมเป็นพันธมิตร 

เมื่อไม่นานมานี้ Humain เพิ่งประกาศดีลมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 97,300 ล้านบาท) กับกลุ่มทุน Blackstone ของสหรัฐฯ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในราชอาณาจักร 

นอกจากนี้ Humain ยังได้เปิดตัว Humain One ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอที่ผู้ใช้สามารถ “พูดหรือพิมพ์” สั่งการคอมพิวเตอร์ให้ทำงานต่างๆ ได้เลย แทนที่จะคลิกไอคอนแบบเดิมๆ เหมือนใน Windows หรือ iOS 

ปัจจุบัน Humain ได้นำระบบเอไอมาใช้ภายในองค์กรแล้วในหลายแผนก ทั้งในแผนกทรัพยากรบุคคล, การเงิน, กฎหมาย และไอที ซึ่งช่วยลดพนักงานลงไปได้มาก เช่น แผนกบัญชีเงินเดือนที่ตอนนี้มีพนักงานเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะส่วนที่เหลือจัดการโดยเอไอทั้งหมด 

สำหรับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทางเอไอของซาอุฯ เป็นหนึ่งในแผนปฏิรูปประเทศภายในปี 2030 ภายใต้ชื่อ Vision 2030 ตามดำริของ มกุฎราชกุมารโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน ที่แม้ยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการแต่ก็ถือเป็นผู้บริหารประเทศแล้วในทางปฏิบัติ หลังพระบิดาซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน อายุมากและสุขภาพพลานามัยไม่สมบูรณ์ 

Vision 2030 มีขึ้นในยุคที่โลกลดการพึ่งพาน้ำมัน และกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังสะอาดด้านอื่น จนทำให้ซาอุฯ ต้องนำรายได้จากน้ำมันไปลงทุนด้านอื่นให้งอกเงย เพื่อพาประเทศไปสู่ทิศทางใหม่ๆ 

นอกจากเอไอแล้ว ซาอุฯ ยังได้เดินหน้าพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ลงทุนด้านกีฬาและเกมมิ่ง โดยอย่างหลังทำผ่านการถือหุ้นในค่ายเกมหลายแห่ง ซึ่งที่เพิ่งเป็นข่าวใหญ่คือการเพิ่มสัดส่วนหุ้นในค่ายเกม EA จนกลายเป็นเจ้าของบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว 

ทว่าในส่วนของแผนพัฒนาเอไอ ซาอุฯ ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันโดยตรงจากเพื่อนบ้านอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งมีบริษัทเอไอที่รัฐบาลหนุนอยู่เช่นกัน 

เมื่อเร็วๆ นี้ ยูเออีเพิ่งบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์กับรัฐบาลทรัมป์ เพื่อสร้าง “Stargate UAE” โครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16 ล้านล้านบาท) ซึ่งถูกยกให้เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐฯ โดยมีความช่วยเหลือจาก OpenAI, Oracle, Nvidia และ Cisco 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าซาอุฯ จะไม่กังวลกับคู่แข่ง โดยซีอีโอ Humain กล่าวว่าดีที่มีการขับเคี่ยวกันเรื่องเอไอระหว่างซาอุฯ กับยูเออี เพราะลดเรื่องผูกขาดและตัดปัญหาเรื่องการกระจุกตัวทางเทคโนโลยีไปได้ แต่ก็เชื่อว่าซาอุฯ จะไปไกลกว่า เนื่องจากมีเงินทุนมากกว่าและการลงมือปฏิบัติจริง / cnn 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer