ก่อนที่ เซบาสเตียน คาสติลโล นักเขียนและอาจารย์วรรณคดีอังกฤษของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ จะเปิดหนังสืออ่านบนรถบัส เขามักจะมีความคิดแวบหนึ่งที่รบกวนจิตใจว่า ควรจะสะกิดคนแปลกหน้าที่นั่งข้างๆ แล้วอธิบายไหมว่า “ใช่ ผมกำลังเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ที่หน้า 1 แต่จริงๆ แล้วผมอ่านเล่มอื่นจบมาเยอะแล้วนะ”
คาสติลโลยอมรับกับสำนักข่าว NBC ในสหรัฐฯ ว่าความคิดนี้มัน “สุดโต่ง” และเขาก็ไม่เคยทำจริงๆ แต่ความรู้สึกนี้สะท้อนถึง ความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น ในยุคดิจิทัล ที่ทุกการกระทำในที่สาธารณะอาจถูกจับตามองว่าเป็นการเสแสร้ง หรือ สร้างภาพ แม้ คาสติลโล คิดว่ามันดูไร้สาระ และนี่ก็กำลังกลายเป็นเทรนด์ขึ้นมา

นี่คือ เทรนด์ Performative Reading ที่ผู้คนทำให้ดูเหมือนว่าตนกำลังอ่านหนังสืออยู่ มากกว่าที่จะอ่านมันจริงๆ หรือต่อเนื่องไปถึงการแชร์รายชื่อหนังสือที่เหมาะจะอ่านโชว์บนรถสาธารณะ และพาหนะขนส่งมวลชน
แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพียงมุกตลกล้อเลียนขำๆ (Meme) แต่นักอ่านตัวยงหลายคนกล่าวว่า แนวคิดเรื่องการอ่านเพื่อ “สะสมแต้มทางสังคม” (Social Points) ทำให้ตัวเองดูดี เพื่ออวดและเรียกความสนใจจากคนรอบข้าง นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริง และมันได้ส่งผลกระทบต่อวิธีที่ผู้คนปฏิสัมพันธ์กับหนังสือโดยไม่รู้ตัวแล้ว
บรรดาหนอนหนังสือยังยอมรับด้วยว่า แม้ต่อต้านเทรนด์นี้เพราะเป็นการด้อยค่าหนังสือทำให้กลายเป็นแค่ของเอาไว้อวดเท่านั้น แต่เมื่อเห็นเพื่อนในโซเชียลแชร์เล่มที่อ่านบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านจริงจากนักอ่านตัวจริงด้วยกันหรือพวกที่เป็นนักอ่านปลอมเปลือก มันก็ทำให้อยากไปซื้อเล่มที่เขาแชร์ๆ กันมาอ่านบ้างเช่นกัน
ราโอล มูอง ออนไลน์ครีเอเตอร์วัย 17 ปี บน TikTok และ Instagram อัลกอริทึมของสื่อโซเชียลมักจะให้รางวัลกับสิ่งที่ ‘ดูดี’ เช่น หน้าปกที่สะดุดตา หรือภาพถ่ายที่จัดฉากสวยๆ ในร้านกาแฟ มันสนใจว่าแค่ดูดีไหม ไม่ได้สนใจว่าเจ้าของโพสต์นั้นอ่านหนังสือเล่มนั้นจริงหรือเปล่า
จากนั้นก็ดันฟีดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังเปลี่ยนหนังสือให้กลายเป็นแค่ของไว้อวดกันสวยๆ เท่านั้น
มูองเผยว่า หนังสือคลาสสิกอย่างผลงานของ เจน ออสเตน หรือ โจน ดิเดียน ถูกนำอวดกันตามเทรนด์ Performative Reading เพราะช่วยยกระดับให้เป็นนักอ่านตัวจริงที่มีรสนิยมในการอ่านดีนั่นเอง
เอวา เยกอ-ซาโบ วัย 25 ปี ซึ่งเป็นหนอนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก และปกติอ่านหนังสือประมาณ 50 เล่มต่อปี เธอบอกว่า การตัดสินคนอื่นทางออนไลน์ (เช่น อ่านได้เร็แค่ไหน หรืออ่านในรูปแบบใด—ในบางกลุ่ม การฟัง audiobook ไม่นับว่าเป็นการอ่าน) ได้ผลักดันให้เธอเปลี่ยนนิสัยการอ่าน จนร่วมอยู่ในเทรนด์ Performative Reading ไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
ด้านเซลวา ข่าน บัณฑิตจบใหม่ ที่ชอบแชร์เรื่องหนังสือบนโซเชียล กลับมองในทางตรงกันข้าม โดยเขามองว่าการสร้างภาพให้งานอดิเรกเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เชื่อว่าการอวดเล็กๆ น้อยๆ และอาจตามเทรนด์ Performative Reading ไปบ้างก็ไม่ได้เสียหายอะไร

เธอยังเชื่อว่ามันก็ไม่ได้พรากความสุขที่แท้จริงของการอ่านไปอีกด้วย และก็ไม่ควรเหมารวมว่าการอ่านหนังสือในที่สาธารณะหรือขนส่งมวลชนต้องเป็น Performative Reading ไปเสียหมด
เทรนด์ Performative Reading มักพุ่งเป้าไปที่ผู้ชายกลุ่ม Gen Z ที่อยากทำให้ผู้หญิงหันมาสนใจหรือจีบ ซึ่งเชื่อมโยงกับอีกเทรนด์นั่นคือ ผู้ชายปลอมเปลือก (Performative Male) 
เพราะกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ มักจะมีหนังสือเล่มโปรดของสาวๆ ติดกระเป๋าไว้ นอกเหนือไปจากลักษณะร่วมกันอื่นๆ อย่าง ใส่กางเกงทรงหลวม ฟังเพลงโปรดของสาวๆ และจิบมัตฉะ ลาเต้ ประกอบกับการอ่านหนังสือถูกมองว่า เป็นเรื่องของผู้หญิงมากกว่า และ “ชายแท้” ควรเน้นกิจกรรมใช้กำลังต่างๆ อย่างกีฬามากกว่า
ขณะที่ จาเฟย พอลลิตต์ วัย 27 ปี หวังว่าผู้ชายจะไม่เก็บเทรนด์ล้อเลียนนี้มาใส่ใจจนไม่กล้าอ่านหนังสือในที่สาธารณะ เพราะอย่างน้อยการอ่านก็เป็นการเพิ่มพูนความรู้ และเมื่ออ่านจบ ก็อาจจะเข้าใจจริงๆ ก็ได้ว่า ผู้หญิงต้องการอะไรหรืออยากให้ผู้ชายปฏิบัติต่อพวกเธออย่างไร
ด้านสื่อตะวันตกอีกสองแห่งอย่าง The Week และ The Guardian ก็รายงานเรื่อง Performative Reading เช่นกัน โดยวิเคราะห์ว่า แม้ถูกมองไปในทางลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Performative Reading มีส่วนช่วยกระตุ้นยอดขายหนังสือร่วมกับเทรนด์การแนะนำหนังสือผ่าน Tiktok หรือ BookTokker
พร้อมกันนี้ยังกระตุ้นให้บรรดาสำนักพิมพ์ แข่งกันออกแบบปกหนังสือแต่ละเล่มให้สะดุดตาและน่าโพสต์โชว์ขึ้นสื่อโซเชียล เพื่อจูงใจให้ซื้อหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่านตัวจริง นักอ่านหน้าใหม่หรือหวังแค่ตามเทรนด์ Performative Reading ดึงคนให้เข้าดูโพสต์หรือเรียกความสนใจก็ตาม / nbc, theguardian
