มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกและผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่กลับมานั่งเก้าอี้ผู้บริหารอีกครั้งในยุคที่เอไอถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและบริษัททั่วโลกแข่งกันลงทุนด้านนี้อย่างดุเดือด

สื่อสหรัฐฯ รายงานอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า เจฟฟ์ เบโซส เตรียมกลับมารับตำแหน่งซีอีโอของบริษัทเอไอน้องใหม่ที่เบื้องต้นใช้ชื่อว่า Project Prometheus โดยแม้จะเป็นซีอีโอร่วม แต่ก็เป็นการกลับมารับงานซีอีโอเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังวางมือจากการบริหาร Amazon 

การหวนคืนวงการครั้งนี้ของเขาเต็มไปด้วยความน่าสนใจและต้องจับตามอง เพราะเป็นบริษัทเอไอสำหรับงานด้านวิศวกรรมและการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันยังได้รับเงินระดมทุนมหาศาลถึง 6,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 200,000 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าหลายบริษัทจะสามารถระดมทุนได้ตลอดชีวิตขององค์กร 

ท่ามกลางรายงานว่าได้มีการจ้างพนักงานจากบริษัทเอไอดังๆ หรือปีกธุรกิจเอไอของบริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI, DeepMind และ Meta แล้วนับร้อยคน ขณะที่ซีอีโอร่วมอีกคนก็มีประวัติน่าสนใจไม่แพ้กัน

เพราะเขาคือ วิก บาจาจ นักฟิสิกส์และนักเคมี ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีจากผลงานสมัยอยู่ที่ X (ห้องปฏิบัติการโครงการพิเศษของ Google) และเป็นผู้ก่อตั้ง Verily สตาร์ทอัพด้านสุขภาพในเครืออีกด้วย  

ด้าน เจฟฟ์ เบโซส ยังไม่เคยพูดถึงบริษัทนี้ ทั้งเรื่องที่ตั้งและรายละเอียดว่าเทคโนโลยีจะทำงานอย่างไร ถึงแม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลังวางมือจาก Amazon เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจด้านเทคโนโลยีชั้นสูงแขนงอื่นๆ เช่น กิจการด้านอวกาศ ผ่านการบริหาร Blue Origin ซึ่งเป็นคู่แข่งกับ SpaceX ซึ่งอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีวงการยักษ์เทคฯ ระดับโลกอีกคนบริหารอยู่ก็ตาม 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ เจฟฟ์ เบโซส ยังมีอีกสองประเด็นน่าสนใจ ประเด็นแรกคือเป็นการสะท้อนถึงการขยายตัวของเอไอ ทั้งขนาดตลาด มูลค่า ขอบเขตของเทคโนโลยี และความเป็นไปได้ต่างๆ ในการนำไปใช้ หลังผู้คนทั่วไปเข้าถึงเอไอได้ง่ายขึ้น สามารถใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวัน 

จนทักษะด้านเอไอกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานไปแล้ว โดยนี่กระตุ้นให้บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกและมหาเศรษฐีต่างๆ ก็หันมาลงทุนด้านเอไอ ซึ่ง Amazon ก็ทุ่มเงินไปกับกิจการด้านนี้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวของหรือจำเป็นไปแล้วก้อนใหญ่ เช่นการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในอินเดีย 

ทว่าอีกด้าน ก็เริ่มมีการเตือนกันถึงการแห่ลงทุนและพัฒนาเอไอที่มากเกินไป จนเกิดภาวะฟองสบู่ รวมไปถึงการใช้การลงทุนด้านเอไอมาตกแต่งบัญชี และมีการตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของการลงทุนด้านเอไอ โดยผู้ที่เตือนถึงเรื่องนี้มากสุดและกำลังเป็นที่จับตามองคือ ไมเคิล เบอร์รี่ 

ไมเคิล เบอร์รี่ โด่งดังมาจากการคาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2005 ที่ต่อมาก็เกิดขึ้นจริงในปี 2008 ซึ่งรู้จักกันในชื่อวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และต่อมาลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งถัดมาในปี 2015 เรื่องนี้กลับมาดังอีกครั้งผ่านหนัง Big Short

มาปี 2025 ไมเคิล เบอร์รี่ กลับมาถูกจับตามองอีกครั้ง ด้วยการทุ่มเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 32,000 ล้านบาท) เพื่อ “แทงสวน” ว่าหุ้นของบริษัทซอฟต์แวร์ Palantir และบริษัทชิป Nvidia ที่เกี่ยวข้องกับวงการเอไอนั้นจะร่วงลงมา เพราะเห็นว่าบริษัทยักษ์เทคบางแห่งกำลังใช้กลลวงทางบัญชีเพื่อปั้นตัวเลขผลกำไรให้ดูสูงเกินจริง / theguardian 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer