อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยคือเครื่องจักรหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในขณะที่เครื่องจักรหลักอีกตัวอย่าง “ภาคการผลิต” กำลังชะลอตัวลง
“ภาคบริการ” กลับโตจนเป็นสัดส่วนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีมูลค่าสูงถึง 60% ของ GDP ไทยแล้ว
ส่วนประกอบหลักของภาคบริการก็มาจาก “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง และค้าปลีก ที่เติบโตมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา
แต่ปีนี้ การท่องเที่ยวไทยกลับกำลังชะลอตัวหนัก
จนเครื่องจักรหลักที่เคยเป็นตัวนำ กลับกลายเป็นตัวฉุดไปแทน
เกิดอะไรขึ้นกับเครื่องยนต์ตัวนี้ และเราต้องทำยังไงจึงจะได้เห็นเครื่องยนต์นี้จุดติดอีกครั้งหนึ่ง?
หาคำตอบได้ที่นี่
(นี่เป็นข้อมูลจากงาน KResearch Seminar “ท่องเที่ยวถึงจุดเปลี่ยน ไทยจะไปต่ออย่างไร” ที่เรารวบรวมและสรุปมา)
2,650,000 คน คือจำนวนนักท่องเที่ยวที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะหายไปในปี 2025 เมื่อเทียบกับปี 2024
หากตัดช่วงวิกฤตออกไป นี่นับว่าเป็นปีแรกในรอบสิบกว่าปีที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่ทำได้ดีมาตลอด ครั้งนี้กลับสะดุด เนื่องมาจากหลายสาเหตุ:
- ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่แย่ลง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน
- ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ความคุ้มค่าในการมาเที่ยวไทยน้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ค่าเงินแข็งค่าน้อยกว่า
- พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ
- ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ยูเครน-รัสเซีย ตะวันออกกลาง หรือกระทั่ง ไทย-กัมพูชา
ปัญหาเหล่านี้สะสมรวมกันมาอยู่ในปีเดียวกัน ทำให้เราเห็นนักท่องเที่ยวชะลอตัวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่น้อยคนพูดถึง และเป็นสิ่งที่เราไม่ควรเมินเฉย คือ การแข่งขันของประเทศอื่น ที่พยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวเช่นกัน
ไม่ใช่เพียงไทยเท่านั้นที่เห็นความสำคัญของการท่องเที่ยว
ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และจีนเอง ต่างก็พยายามดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเติมเต็มเศรษฐกิจในประเทศ
ญี่ปุ่น กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่นักท่องเที่ยวเติบโตสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เห็นได้จากเทรนด์การค้นหาโรงแรมและตัวเลขนักท่องเที่ยว เห็นได้ชัดว่าญี่ปุ่นกำลังผลักดันการท่องเที่ยวของตนอย่างจริงจัง
มีการไปเปิดบูทโปรโมทในต่างประเทศ นำวัฒนธรรมและธรรมชาติด้านใหม่ๆ ไปนำเสนอต่อประเทศอื่น
พร้อมกับสนับสนุนเมืองรองให้น่าสนใจเพื่อลดปัญหา Overtourism ในเมืองหลัก ด้วยการให้ส่วนลดกับสายการบินภายในประเทศ
ส่วนในประเทศใกล้เคียงอย่าง สิงคโปร์ แม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็ชูตัวเองในด้าน MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) ขึ้นมา
สิงคโปร์พยายามดึงดูดและเจรจางานอีเวนต์ต่างๆ ให้มาจัดในประเทศของตน โดยมีการลงทุนในระบบการเดินทาง และสถานที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
เราจะเห็นได้ว่างานใหญ่หลายงานถูกเลือกจัดที่สิงคโปร์มากขึ้น เช่น คอนเสริต์ Taylor Swift และ Coldplay ที่จัดต่อเนื่อง 6 วันติด
ซึ่งทำให้ในช่วงที่มีการจัดงาน จะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในประเทศเป็นจำนวนมาก และเป็นการโปรโมทประเทศในทางอ้อมๆ
เมื่อมองย้อนกลับมาที่ไทย ความแข็งแกร่งที่เคยมีกลับกำลังโดนท้าทาย
การแพทย์ ที่เรามีชื่อเสียง กลับไม่ได้มีจุดเด่นชัดเจนอีกต่อไป เพราะ:
- มาเลเซีย มีค่ารักษาที่ถูกกว่า
- สิงคโปร์ เจาะฐานลูกค้าที่ต้องการเครื่องมือทันสมัย และแพทย์ที่มีความสามารถสูง
- เกาหลี เป็นเจ้าตลาดในด้านความงามและศัลยกรรม
- ตะวันออกกลาง ที่เป็นลูกค้าหลัก กลับพัฒนาการแพทย์ภายในประเทศให้ดีขึ้นมาก จนมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเลือกรักษาในประเทศตัวเองแทนการมาไทย
ภาพลักษณ์การแพทย์ในไทยวันนี้ส่วนใหญ่จึงเหลือเพียง การตรวจสุขภาพ การศัลยกรรมเพื่อความงาม และการรักษาฟัน
ธรรมชาติ หรือวัฒนธรรมที่เป็นจุดเด่นของประเทศเรา ก็กำลังพบเจอปัญหา Overtourism โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ความน่าสนใจน้อยลงไปอีกในสายตาชาวโลก
ทั้งหมดนี้กำลังสั่นคลอนภาพลักษณ์ที่ไทยเคยมีตอนปี 2019 ในฐานะ สถานที่ท่องเที่ยวในใจของคนทั่วโลก
หากเราไม่ทำอะไรเลย เราอาจเห็นผลกระทบที่แย่ลงไปเรื่อยๆ ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมีคำแนะนำสี่ข้อ:
1. ฟื้นความเชื่อมั่น โดยเฉพาะจีนที่เป็นสัดส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวไทย ต้องทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้
2. เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่ม MICE, Medical & Wellness Tourism โดยหาจุดเด่นมาทดแทนจุดด้อยให้ได้
3. สนับสนุนให้คนไทยเที่ยวไทยมากขึ้น เพราะเราไม่สามารถพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียวได้
4. ผลักดันเมืองรองมากขึ้น เพราะลึกๆ แล้ว ไทยก็มีปัญหา Overtourism ในหลายจังหวัด ซึ่งไม่สามารถกระจายรายได้ให้เมืองเล็กๆ ได้
นี่อาจเป็นเพียงปัญหาชั่วคราวจากทุกปัจจัยที่รุมเร้าเข้ามาพร้อมกันในปีเดียว
หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่จะอยู่ไปนาน
หากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนไม่ร่วมมือกัน เราอาจจะเห็นเครื่องจักรหลักของประเทศค่อยๆ เสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ
