ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง คำนี้เห็นจะจริง
ดูได้จากการเติบโตของ ตลาดเครื่องสำอาง ในประเทศไทย ที่คาดการณ์จะเติบโตมากถึง 2.7 แสนล้านบาท จากปี 2560 ที่มีมูลค่า 2 แสนล้านบาท
การเติบโตของตลาดเครื่องสำอางประเทศไทยมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งในเรื่องของพฤติกรรมของสาวต่างจังหวัดเริ่มใช้เครื่องสำอาง และรู้จักวิธีการแต่งหน้าที่มากกว่าการใช้ลิปสติก เขียนคิ้ว และปัดแก้ม และสาวในเมืองเริ่มรู้จักการแต่งหน้าและเครื่องสำอางใหม่ๆ จาก Influencer ที่แนะนำการแต่งหน้าบนโลกออนไลน์มากขึ้น
และโลกออนไลน์ยังทำให้ผู้หญิงเรียนรู้ว่าตัวเองต้องสวยพร้อมถ่ายภาพอัพลงโซเชียลเสมอ
การที่ผู้หญิงไทยพร้อมสวย จึงไม่แปลกเลยที่พวกเธอจะพร้อมจ่ายเพื่อแลกกับเครื่องสำอางแต่งแต้มความงาม

ที่ผ่านมา ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องสำอางจากยุโรป อเมริกา และเกาหลี ส่วนแบรนด์ญี่ปุ่น แบรนด์ที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่จะมีเพียงไม่กี่แบรนด์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบรนด์ระดับโลก อย่างเช่นชิเซโด้ ดีเอชซี SKII ส่วนแบรนด์อื่นๆ คนไทยอาจจะยังไม่รู้จักมากนัก
เนื่องจากว่า
1. เครื่องสำอางญี่ปุ่นมีหลากหลายประเภท มีการใช้งานหลากหลายรูปแบบ และมีสินค้าใหม่ๆ ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น ผงโซดาล้างหน้า และอื่นๆ ทำให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์การใช้เครื่องสำอางมากนักไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้เครื่องสำอางชนิดไหนดี
2. เครื่องสำอางญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังใช้ชื่อแบรนด์ คุณสมบัติ วิธีใช้ เป็นภาษาญี่ปุ่น และมีดีไซน์แพ็กเกจที่คล้ายๆ กัน ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคของสาวไทยและสาวประเทศอื่นๆ ที่ไม่สามารถอ่านข้อความที่ระบุไว้ได้
3. แบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่นขาดองค์ความรู้และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการทำตลาดเครื่องสำอางในต่างประเทศ
ทำให้เครื่องสำอางในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแข่งขันกันในประเทศ และเป็นการแข่งขันที่รุนแรงในการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ ที่มีอินโนเวชั่นใหม่ๆ เพื่อดึงดูดสาวญี่ปุ่นให้ซื้อเครื่องสำอางแบรนด์ของตัวเอง
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสาวในประเทศญี่ปุ่นรู้จักในการใช้เครื่องสำอางดี และให้ความสำคัญที่จะดูแลตัวเองให้สวยอยู่เสมอ ทำให้ตลาดความงามในประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่ แต่อิ่มตัว จากเครื่องสำอาง Penatration ที่สูง

เมื่อ ตลาดเครื่องสำอาง ญี่ปุ่นแข่งขันในประเทศที่รุนแรง และไม่สามารถบุกเดี่ยวออกสู่ตลาดโลกภายนอกได้
แต่คนไทยกลับท่องเที่ยวญี่ปุ่นจำนวนมาก ทำให้ร้านดรักสโตร์ที่มีจำหน่ายเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ อย่างซูรูฮะ และมัทสึโมโตะ คิโยชิ ต่างมองเห็นโอกาสในประเทศไทย จากคนไทยนิยมเข้ามาซื้อสินค้าเครื่องสำอางญี่ปุ่นกลับไปประเทศเป็นจำนวนมาก จนเข้ามาเปิดสาขาที่ประเทศไทยหลากหลายสาขา เพื่อแนะนำเครื่องสำอางญี่ปุ่นให้คนไทยรู้จักมากขึ้น
แต่ร้านดรักสโตร์ที่เข้ามาไทยก็ยังประสบปัญหาคล้ายๆ กันคือ คนไทยอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก และจะเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่ตัวเองรู้จัก หรือมีการติดป้ายแนะนำเท่านั้น
รวมถึงการสูญเสียรายได้จาก Gray Market ที่หิ้วเครื่องสำอางจากประเทศญี่ปุ่นมาขายออนไลน์ และการฝากเพื่อนที่ไปประเทศญี่ปุ่นหิ้วเครื่องสำอางกลับมา
และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เครื่องสำอางแบรนด์ญี่ปุ่น ที่ไม่รวม Gray Market และฝากหิ้ว มีสัดส่วนเพียง 2-3% ในตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทย ซึ่งถือว่ามีโอกาสขยายตัวได้อีกมากถ้าสามารถลดข้อจำกัดด้านภาษาไปได้
รายได้ร้านซูรูฮะ
2556 67,763,686.21
2557 258,793,395.49
2558 458,428,019.53
2559 540,392,596.24
2560 607,740,874.91
2561 579,729,437.78
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ รายได้จากบริษัท ซูรูฮะ (ประเทศไทย) จำกัด
รายได้มัทสึโมโตะ คิโยชิ
2558 14,120,841.00
2559 142,975,929.00
2560 341,830,266.00
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ รายได้จากบริษัท เซ็นทรัล และ มัทสึโมโตะ คิโยชิ จำกัด
การแข่งขันในของธุรกิจเครื่องสำอางของดรักสโตร์ยังประสบปัญหาการแข่งขันกับร้านมัลติแบรนด์ต่างๆ เช่น eveandboy และ sephora ที่มีภาพลักษณ์ของร้านเป็นร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ ที่รวมเครื่องสำอางจากแบรนด์ตะวันตกจำนวนมากเข้ามาจำหน่าย และยังมีเครื่องสำอางจากแบรนด์ตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีให้เลือกด้วย
รายได้อีฟแอนด์บอย
2560 1,636,199,548.06
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ รายได้จากบริษัทอีฟแอนด์บอย จำกัด
@Cosme ไม่กลัวความท้าทายเพราะตลาดไทยคือโอกาส
แม้สัดส่วนเครื่องสำอางญี่ปุ่นจะยังคงน้อยในตลาดไทย และร้าน @Cosme Store คนไทยยังไม่รู้จักมากนัก แต่ เทตสึโระ โยชิมัตสึ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอสไตล์ อิงก์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์รีวิวเครื่องสำอางอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น @Cosme เว็บขายเครื่องสำอางออนไลน์ @Cosme และร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ @Cosme Store ก็ยังมองว่าตลาดไทยคือโอกาสที่น่าสนใจ จากมูลค่าตลาดที่เติบโตในทุกๆ ปี และการยอมรับในร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ของไทยที่มีมากขึ้น
@Cosme จึงได้เข้ามาทำตลาดไทย ด้วยการเปิดสาขาแรกที่ ICONSIAM ในปลายปี 2561 บนพื้นที่ 300 ตร.ม งบลงทุนรวม 26 ล้านบาท ก่อนที่จะขยายสาขาที่ 2 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่สยามเซ็นเตอร์ และเพิ่มเป็น 5 สาขาในปี 2564
![]()
วันนี้ Brand Awareness @Cosme Store แทบจะเป็นศูนย์สำหรับคนไทย แต่ผู้บริหาร @Comse Store เชื่อมั่นว่า @Cosme Store จะประสบความสำเร็จเหมือนกับประเทศอื่นๆ จากการวางกลยุทธ์การแข่งขัน 4 ประการคือ
1. สินค้าที่จำหน่ายในร้านเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากสาวญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นสินค้าที่จำหน่ายในร้านมากกว่า 90% เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นในราคาที่แพงกว่าประมาณ 10-20% ก่อนที่จะขยายไปยังสินค้าที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ในประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับสาวไทยมากขึ้น
2. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งที่เป็นร้านดรักสโตร์อย่างซูรูฮะ และมัทสึโมโตะ คิโยชิ ด้วยการมีพนักงานให้คำปรึกษา และแนะนำสินค้าที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้า มีสินค้าให้ทดลองใช้จริง เพื่อสร้างประสบการณ์ในการใช้งานสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะผู้บริหาร @Cosme มีความเชื่อว่า ถ้าลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีในร้านค้า โอกาสในการซื้อสินค้าก็จะมีมากขึ้น
3. มีข้อมูลแนะนำสินค้าเป็นภาษาไทย ติดอยู่ตามเชลฟ์ เพื่อลดข้อจำกัดของเครื่องสำอางญี่ปุ่นไม่มีภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษให้อ่าน
4. มีพื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆ ที่หมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกุศโลบายให้ลูกค้าเรียนรู้ และรู้จักเครื่องสำอางญี่ปุ่นและ @Cosme Store มากขึ้น
ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องภาษาจะเป็นความท้าทายอันดับต้นๆ ของเครื่องสำอางญี่ปุ่น แล้ว @Cosme จะผ่านไปได้หรือไม่
Marketeer FYI
– ปัจจุบัน @Cosme Store มีสาขาทั้งสิ้น 35 สาขา แบ่งเป็นสาขาในญี่ปุ่น 26 สาขา ไต้หวัน 4 สาขา ฮ่องกง 3 สาขา เกาหลี และไทย ประเทศละ 1 สาขา โดยฮ่องกงเป็นตลาดที่สร้างยอดจำหน่ายสูงสุด และคาดว่าในปี 2563 จะขยายสาขาในเอเชียนอกญี่ปุ่นให้ครบ 20 สาขา
– สำหรับสาขา ICONSIAM ตั้งเป้าทำยอดขายให้ได้ 100 ล้านบาท ภายใน 3 ปี
–
