“YDM Thailand” เปิดตัวโมเดล “Revenue Sharing” จ่ายค่าบริการตามยอดขายจริง เหตุการตลาดแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคดิจิทัล โมเดลเอเจนซี่เดิมทำให้แบรนด์เสียเปรียบ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส พัฒนา ‘แพลตฟอร์ม’ เสริมโมเดลแชร์รายได้ ใช้อินฟลูเอนเซอร์กระตุ้นความต้องการซื้อ ชูจุดแข็ง 9 บริษัทในเครือทำการตลาดครบวงจร ตั้งเป้าผลประกอบการปี 62 แตะ 850 ล้าน เติบโต 50% เผย 2 ปี พาบริษัทเข้าตลาดหุ้น

ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แบรนด์และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน หลายรายยังยึดติดกับการตลาดแบบดั้งเดิมอยู่ และไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือต่างๆ มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เช่นเดียวกับ ‘เอเจนซี่’ ต่างๆ ที่เมื่อรับงานลูกค้าแล้วยังคิดค่าบริการจากการทำแผนกลยุทธ์ ค่าครีเอทีฟ และค่าธรรมเนียมลงสื่อต่างๆ โดยไม่มีตัวชี้วัด หรือ KPI เป็นยอดขาย ทำให้แบรนด์ต้องรับความเสี่ยงจากการจ้างเอเจนซี่

ธนพลกล่าวอีกว่า สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ตนคิดวิธีการใหม่ๆ โดยใช้โมเดล “Revenue Sharing” หรือการแบ่งส่วนแบ่งจากยอดขาย เพื่อลดความเสี่ยงฝั่งแบรนด์

“ยอดขายน้อย จ่ายน้อย ยอดขายมาก จ่ายมาก ถือเป็นโมเดลที่ Win-Win กันทุกฝ่าย” ธนพลเสริม

สาเหตุที่บริษัทกล้าเสนอโมเดลนี้ เนื่องจากบริษัทมีจุดแข็งเรื่อง ‘การตลาดแบบผลลัพธ์’ ผ่านบริษัทในเครือทั้งหมด 9 บริษัท ได้แก่ FCB Bangkok, Nawin Consultant (ด้านการสร้างแบรนด์และวางแผนผลิตสื่อ), Adyim (ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง), Gottimize (ด้านการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์), Alternate65 (ด้านไมโครอินฟลูเอนเซอร์), Adpocket (ด้านโฆษณาผ่านมือถือ), Jamjaras (ด้านการตลาดภูธร), AVG Thailand (ด้านการเจาะตลาดจีน) และ Doer (แพลตฟอร์มสำหรับฟรีแลนซ์ที่ให้บริการด้านเว็บไซต์ สมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชั่น)

ธนพลกล่าวถึง ‘ดีล’ ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทกับลูกค้าว่า บริษัทอาจจะคิดส่วนแบ่งจากยอดขายตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 40% หรือตามแต่ตกลงกันไว้ ทั้งนี้ ลูกค้าไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงใดๆ

นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘อีคอมเมิร์ซ’ ในชื่อ BuyZabuy.com และ SellZabuy.com เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโมเดล “Revenue Sharing”

ธนพลกล่าวอีกว่า การตลาดยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แบรนด์ส่วนใหญ่ต้องการขายสินค้าในหลากหลายช่องทางและมีการทำการตลาดในหลายส่วน ตลอดจนการเชื่ออินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) บริษัทจึงพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อดูยอดขายที่เป็นผลจากการทำการตลาดของบริษัทเอง และคิดส่วนแบ่งจากยอดขายที่ปรากฏในเว็บไซต์

ข้อแตกต่างของ BuyZabuy.com เทียบกับ ‘Lazada’ หรือ ‘Shopee’ คือ แพลตฟอร์มของ YDM จะไม่ใช้กลยุทธ์เรื่องการตัดราคาหรือการทำให้ราคาถูกลง (Pricing) แต่ YDM จะเน้นการสร้างดีมานด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ กลุ่มต่างๆ ให้เข้ามาซื้อในเว็บไซต์ อีกทั้งบริษัทยังมีการคัดเลือกสินค้าเพื่อลงในแพลตฟอร์มด้วย

ธนพลกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน YMD Thailand กลายเป็นกลุ่มบริษัท Marketing Group ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ครอบคลุมทั้งบริการออฟไลน์และออนไลน์ มีพนักงานรวมทั้งสิ้นกว่า 200 คน และในปี 2561 ทำยอดขายได้ 565 ล้านบาท โดยปี 2562 ตั้งเป้าที่ 850 ล้านบาท เติบโต 50%

ทั้งนี้ ยังคาดว่าภายในปีนี้บริษัทจะเข้าร่วมถือหุ้นบริษัทด้าน Data อีก 1 บริษัท

ธนพลกล่าวอีกว่า ในปี 2564 ได้มีการวางแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ จุดประสงค์คือต้องการระดมทุนในการลงทุนมากยิ่งขึ้น เพื่อก้าวเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก (Global Company)

เปรียบเทียบการตลาดแบบดั้งเดิม และแบบใหม่

แบบดั้งเดิม แบบใหม่
การปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ การตลาดแบบวงกว้าง การตลาดแบบมีปฏิสัมพันธ์
การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์เฉพาะข้อมูลซื้อขาย วิเคราะห์ข้อมูลทุกส่วน
กระบวนการในการทำงาน การตลาดตามขั้นตอน การตลาดแบบฉับไว
ส่วนงานด้านการตลาด วิธีการทำงานเป็นศูนย์กลาง ให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
แพลตฟอร์มและระบบอัตโนมัติ การแยกกันทำงานเป็นส่วนๆ การรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer