ว่ากันว่า ถ้าอยากดูความเจริญของเมืองไหน ให้ดูจำนวนโรงแรมหรูในเมืองนั้น

เพราะโรงแรมหรู ก็มาพร้อมกับห้างสรรพสินค้าหรู สถานที่ท่องเที่ยวหรู และกิจกรรมหรูหราอื่นๆ มากมาย

โดยข้อมูลจาก Five Star Alliance ในปี 2017 พบว่า เมืองที่มี โรงแรม 5 ดาว เยอะที่สุด ได้แก่

1.ลอนดอน 75 แห่ง
2.ดูไบ 61 แห่ง
3.นิว ยอร์ก 59 แห่ง
4.ปารีส 56 แห่ง
5.ไมอามี่ 46 แห่ง
6.ลอส แองเจลิส 39 แห่ง
7.กรุงเทพฯ 33 แห่ง
8.เซี่ยงไฮ้ 33 แห่ง
9.วอชิงตัน ดี.ซี. 32 แห่ง
10.โรม 32 แห่ง

*ถ้านับต่อไปก็จะเจอ ภูเก็ต ที่มี โรงแรม 5 ดาว ถึง 32 แห่ง เช่นกัน

มองในด้านหนึ่ง ก็หมายความว่า กรุงเทพฯ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลายกลุ่ม ตั้งแต่ Backpack นอน Hostel จนไปถึง นักท่องเที่ยวหรูหรา นอนโรงแรม 5 ดาว ซึ่งจำนวนโรงแรมนี้สอดคล้องกับ Rankings ที่เคยจัดก่อนหน้านี้ ว่า กรุงเทพฯ เป็นสุดยอดเมืองสำหรับนักท่องเที่ยว เมืองอาหารอร่อย จำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุด

แต่มองในอีกด้าน ก็เห็นความแตกต่างมากมาย เช่น ถ้าลองไปเทียบกับเมืองที่เหลือ จะพบว่าค่าครองชีพของเมืองนั้นสูงมาก เช่น ลอนดอน ดูไบ ปารีส นิวยอร์ก ในขณะที่กรุงเทพฯ นั้นค่าครองชีพถูกมาก แต่กลับมีจำนวนโรงแรมห้าดาวสูสี ซึ่งหมายถึง ความเจริญทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม คือมีจำนวนโรงแรมห้าดาวเยอะ ในขณะที่ี่รายได้ของประชาชนในเมืองก็ยังไม่ได้พัฒนาตามไปด้วย

 

อย่างในภาพด้านล่าง จะเห็นว่าในโตเกียว หรือ ในสิงคโปร์ ที่จำนวนโรงแรมห้าดาวไม่เยอะเท่าไทย แต่มีค่าโรงแรมเฉลี่ยที่สูงกว่า ซึ่งหมายความว่ามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ควบคู่กัน

ถ้าลองมาเทียบกับเมืองในเอเชียด้วยกัน จะพบว่าโรงแรม 5 ดาวของไทยก็ยังเยอะกว่าประเทศที่เจริญกว่าเราค่อนข้างมาก

จำนวนโรงแรม 5 ดาว ของเมืองในทวีปเอเชีย
1.บาหลี 45 แห่ง
2.เซี่ยงไฮ้ 34 แห่ง
3.มัลดีฟ 34 แห่ง
4.กรุงเทพฯ 33 แห่ง
5.ภูเก็ต 32 แห่ง
6.ปักกิ่ง 30 แห่ง
7.สิงคโปร์ 27 แห่ง
8.โตเกียว 18 แห่ง
9.เดลี 18 แห่ง
10.มุมไบ 11 แห่ง
11.ไทเป 10 แห่ง
12.กัวลาลัมเปอร์ 9 แห่ง

 

โดยในรายงานของ Wealth Report 2018 พบว่า การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวที่ค้างคืนในแต่ละเมือง มีดังนี้

ซึ่งมีประเทศจากเอเชียเพียงเมืองเดียว ที่ติดนั่นก็คือ ไทเป ที่นักท่องเที่ยวจ่ายเฉลี่ย 1,348 เหรียญต่อหัว นั่นหมายความว่าถึงแม้ โรงแรม 5 ดาวของ ไทเปจะมีแค่ 10 แห่ง ค่าครองชีพจะไม่สูงเท่า ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ แต่เมืองไทเป ก็สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากจับจ่ายใช้สอยได้ ไม่ว่าจะเป็น Street Food, สถานที่ท่องเที่ยวทั้งกลางวัน และกลางคืน รวมไปถึงอีเวนต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวในแต่ละเดือน

โดยข้อมูลข้างต้นนั้นมาจาก Mastercard ที่เป็นบัตรเครดิต ฉะนั้นจึงเป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้ ในขณะที่ประเทศไทย Street Food และ Night Life Activity อื่นๆ นั้นตรวจสอบได้ยากมาก ฉะนั้นการพัฒนาเรื่อง Payment ของหลายธนาคารที่กำลังทำอยู่ จะช่วยให้ทราบข้อมูลที่แท้จริงได้มากยิ่งขึ้น

 

ฉะนั้นตอนนี้ประเทศไทย มีครบทุกอย่างแล้ว ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาก โรงแรมครบทุกช่วงราคา สินค้าและอาหารราคาถูก แต่ที่ยังขาดก็คือ การเดินทางไปยังจังหวัดเคียงข้างกรุงเทพฯ ที่จะช่วยกระจายรายได้ไปยังจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจาก กรุงเทพ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่

 

ที่มา : Wealth Report, Five Star Alliance และ Statista



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online