Acer สร้างแบรนด์ให้เหนือคู่แข่งด้วยความเชื่อมั่น (สัมภาษณ์พิเศษ)
นับเป็นปีที่ 8 ติดต่อกันที่ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด คว้ารางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ในหมวดผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก จากผลสำรวจความนิยมสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ของผู้บริโภค เพื่อเฟ้นหาแบรนด์สินค้าและบริการที่รักษาคุณภาพเคียงคู่คนไทย
เป็นการตอกย้ำความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของแบรนด์ไอทีที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างตรงจุด
เน้นสร้างความเชื่อมั่น เป็นกุญแจความสำเร็จ สร้างธุรกิจให้เหนือคู่แข่ง
คุณนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ Director, Marketing Division บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จในการคว้ารางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand ประจำปี 2019-2020 พร้อมเผยถึงกลยุทธ์การตลาดสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ Acer เติบโตแบบผู้นำอย่างยั่งยืน
“สำหรับสินค้าไอทีนั้น กุญแจสำคัญในการทำการตลาดให้เหนือคู่แข่ง คือการสร้างความเชื่อมั่นในตัวสินค้าและความเชื่อมั่นใจในแบรนด์ เพราะสินค้าไอทีมีความซับซ้อน คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องมีองค์ประกอบมากมาย สิ่งที่เราเริ่มทำตั้งแต่วันแรกๆ คือทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อมั่นในเรา
ความเชื่อมั่นนี้ก็คือ เชื่อมั่นทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ แบรนด์ และบริการหลังการขาย กล่าวคือ เชื่อมั่นในทุกๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าซื้อเครื่องไปแล้วเวลามีปัญหาไม่รู้จะคุยกับใคร หรือติดต่อใครไม่ได้ หรือเวลาเครื่องเสียแล้วศูนย์บริการติดต่อยาก ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบที่รวมอยู่ในคำว่า ความเชื่อมั่น”


ยกระดับศูนย์บริการ พร้อมอุปกรณ์สแปร์พาร์ทกว่า 160 ล้านบาท
ผู้บริหารAcerมองว่า ‘บริการหลังการขาย’ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ยกระดับความเชื่อมั่น และมีส่วนในการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค
“อย่างที่เราทราบกันดีว่าสินค้าทุกวันนี้เรื่องของเทคโนโลยีจะไม่หนีกันมาก สามารถตามกันทัน ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคไว้ใจก็คือองค์ประกอบด้านอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของงานบริการ ผู้บริโภคยุคหลังๆ ใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น ปัจจัยในเรื่องของการบริการหลังการขายจึงเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลัง จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่าตอนซื้อเครื่องแรกจะเน้นเรื่องของสเปกและราคา แต่พอซื้อเครื่องที่ 2-3 นั้น สิ่งที่เขามองหานอกจากปัจจัยทั่วไป เขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศูนย์บริการ อะไหล่ รวมถึงการให้ข้อมูลของพนักงาน เราจึงถือว่าเรื่องบริการจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเราบริการดีจะเกิดการ Repeat
ดังนั้น เราเริ่มสเต็ปแรกตั้งแต่การบริหารจัดการศูนย์บริการด้วยตัวเอง เพื่อให้คุมศักยภาพของการบริการได้ หลังจากนั้นเพิ่ม Service Center ให้ดีลเลอร์เป็นตัวแทนศูนย์บริการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรฐานของ Acer โดยเราเข้าไปควบคุมการให้บริการของดีลเลอร์ด้วยตัวเอง เมื่อเทียบกับธุรกิจไอทีด้วยกัน ถือได้ว่าเราเป็นแบรนด์เดียวที่ดูแลบริหารจัดการศูนย์บริการด้วยตัวเราเอง เพราะเราเชื่อว่านี่คือหนึ่งในความเชื่อมั่น
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันแรกที่จัดการเรื่องศูนย์บริการ เราได้บริหารจัดการอะไหล่สแปร์พาทหรืออะไหล่สำรองทั้งหมดด้วยตัวเราเอง ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ปัญหาของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาของการบริหารจัดการอะไหล่ที่ไม่เพียงพอ บางครั้งหลายๆ แบรนด์พูดหรือโปรโมตว่าสามารถซ่อมให้เสร็จภายใน 2-3 ชั่วโมง แต่พอลูกค้าเอาเครื่องไปซ่อมจริงๆ กลับตอบว่า “ไม่สามารถทำได้” ซึ่งจะต้องรออะไหล่จากต่างประเทศอีกเป็นเดือน ฉะนั้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ
ดังนั้น Acer จึงจัดการเรื่องบริการหลังการขายโดยเฉพาะ พร้อมลงทุนอุปกรณ์สแปร์พาทและอะไหล่ต่างๆ ทั้งหมดราวๆ 160 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการ และเรายังเป็นศูนย์กลางในการกระจายอะไหล่ของอินโดจีน โดยมี กัมพูชา ลาว พม่า ใช้บริการของเรา เพราะฉะนั้นเราการันตีว่าผลิตภัณฑ์ที่เราขายไปนั้น มีอะไหล่รองรับ
สเต็ปที่สองคือ เราจะมีคำตอบที่ชัดเจนให้ เช่น ถือเครื่องเข้ามาที่ศูนย์ ถ้าจำเป็นที่จะต้องซ่อม เราสามารถตอบได้ว่าเรามีอะไหล่ไหม หรือถ้ามีสามารถรอรับได้เลยภายในกี่ชั่วโมง ถ้าไม่มีอะไหล่เราจะบอกลูกค้าว่าเราสั่งจากที่ไหน ใช้เวลาเท่าไร ถ้ากรณีที่รุ่นนั้นไม่มีอะไหล่ เลิกผลิตไปแล้ว เราจะบอกลูกค้าว่าเทิร์นเครื่องไหม ซึ่งจะต่างจากหลายๆ แบรนด์ที่บางครั้งต้องทิ้งเครื่องไว้โดยไม่มีคำตอบ รอถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะท้ายสุดลูกค้าคงต้องการความชัดเจนตามจริงเราก็พร้อมที่จะรอ แค่อยากรู้ว่าได้หรือไม่ได้ และเมื่อไร
และอีกอย่างที่เราสามารถทำได้เหนือกว่าแบรนด์อื่นคือ เรามีเครื่องให้ลูกค้าใช้ระหว่างซ่อม ซึ่งในความเป็นจริงลูกค้าไม่อยากได้เครื่องใหม่หรอก ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าก็อยากได้เครื่องตัวเองกลับไปทั้งนั้น แต่ถ้าในกรณีที่จำเป็นจริงๆ ทางเรามีเครื่องให้ใช้ระหว่างซ่อมเพื่อช่วยเหลือในกรณีที่ฉุกเฉิน เช่น ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้สอบ หรือจำเป็นที่จะต้องใช้เดินทางจริงๆ เราก็มีเครื่องให้ใช้ระหว่างรอ จุดนี้คือจุดที่เราค่อนข้างมั่นใจว่าความเชื่อมั่นคือสิ่งที่สำคัญ แล้วเราสามารถทำได้”
Acer พร้อมนำเสนอโน้ตบุ๊กเฉพาะกลุ่ม ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทางที่หลากหลาย
จากการสอบถามข้อมูลกับ Acer พบว่า ถ้าพูดถึงภาพรวมตลาดสินค้าไอทีในบ้านเรานั้น มีการเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเรียกว่าเป็น Flat คือบวกลบประมาณ 3% โดยมีจำนวนเครื่องในการใช้งานแต่ละปีประมาณ 2.3 ล้านเครื่องทุกปี เท่าๆ กันหมด ซึ่ง Acer พร้อมสร้างความต่างด้วยทางเลือกที่มากกว่า เพื่อ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
“ปัจจุบันเรายังมี Market Share เป็นอันดับ 1 อยู่ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หลายๆ ท่านอาจทราบอยู่แล้วว่า สินค้าไอทีส่วนใหญ่สเปกต่อราคาจะถูกลงเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันเราได้เห็นว่าลูกค้าไม่ได้ซื้อคอมพิวเตอร์ที่ราคาถูกที่สุด ลูกค้าค่อนข้างที่จะเข้าใจบริบทในการใช้งานของตัวเอง หมายความว่าลูกค้าจะรู้ว่าคอมพิวเตอร์รุ่นหนึ่งมีตั้งแต่ราคาถูกถึงราคาแพง เขาเริ่มประเมินได้ว่าการใช้งานในระดับต่างๆ ตั้งแต่ใช้งานทั่วๆ ไป จนถึงการใช้งานสำหรับออกแบบดีไซน์ ฉะนั้นลูกค้าเป็นลูกค้าที่มีประสบการณ์ในการใช้งานมาก่อน เลยทำให้เครื่องถูกที่สุดไม่ใช่เครื่องที่ขายดีที่สุด
เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นเครื่องระดับกลางๆ ขายดีขึ้น รวมถึงการแบ่ง Segment บาง Segment นั้นได้รับการตอบรับที่ดี เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Gaming หรือเครื่องที่บางเบา (Thin & Light) นั้นขายดีมาก ซึ่งเครื่องเหล่านี้นั้นราคาไม่ถูก แถมยังเป็นเครื่องที่แพงกว่าปกติ แต่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม
เช่น เครื่องขนาดกะทัดรัดก็จะตอบโจทย์ความคล่องตัวเป็นกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ส่วน Gaming จะตอบโจทย์สายเกมโดยเฉพาะ ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่สนใจว่าเครื่องนั้นจะใหญ่แค่ไหน เพราะฉะนั้นทำให้ตัว Segment ของแต่ละแบบนั้นเริ่มแยกกันอย่างชัดเจน
โดย Segment ล่าสุดที่เราทำก็คือ ‘Concept D’ ซึ่งเป็นเครื่องที่ทำมาเพื่อสาย Creator โดยเฉพาะ เป็นกลุ่มที่ต้องการเครื่องเพื่อใช้ตัดต่อวิดีโอ หรือทำภาพกราฟิกต่างๆ ที่เป็น 2D หรือ 3D Animation อะไรแบบนี้ แล้วก็มีกลุ่มสินค้าใหม่พร้อมชื่อแบรนด์ใหม่ เพื่อที่จะ Communicate กับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะซึ่งปัจจุบันมีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจาก Concept D ก็จะมีอีกแบรนด์หนึ่งที่ชื่อว่า ‘Enduro’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งาน ‘สมบุกสมบัน’ ซึ่งเป็นเครื่องที่ไม่บางและค่อนข้างหนัก แต่สามารถกันความชื้น กันความร้อนได้ พร้อม Cover กันกระแทก ซึ่งเป็นเกรดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือใช้ในทางการทหาร (Military Grade) เพื่อเป็นการตอบโจทย์ หลังจากที่เราเริ่มเห็น Segmentation และเริ่มทำสินค้าออกมาตอบโจทย์แยกในแต่ละกลุ่มมากขึ้น เริ่มมีตัวเลือกที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น ซึ่งตัวเลือกใหม่ๆ ที่ออกมานั้นได้มาจากข้อมูลที่เราเก็บได้เวลาที่เราขายเครื่องให้กับลูกค้าไปเยอะมากๆ ก็จะเริ่มได้โปรไฟล์ของลูกค้า เราจะเริ่มรู้ว่ากลุ่มนี้ต้องการอะไร”
Big Data สู่การพัฒนาไม่หยุดนิ่ง
การเก็บข้อมูลทุกความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด นำไปสู่การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อยกระดับสินค้าและการให้บริการ
“เรานำ Big Data ที่เรามีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้มากมาย อันดับแรก จะเป็นเรื่องของ Product เราเริ่มรู้ว่ากลุ่มลูกค้าแบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม ซึ่งจริงๆ สาเหตุที่เราแยก Concept D ออกมาเพราะว่าเราได้ Insight มาว่าลูกค้าซื้อเครื่อง Gaming ไป มีอยู่ถึง 15% ที่ไม่ได้ซื้อไปเพื่อเล่นเกม ไม่ได้มี Software อะไรเกี่ยวกับเกมเลย มีแต่ Software เกี่ยวกับการตัดต่อภาพ หนัง หรือการทำ Animation อยู่ในเครื่อง นั่นเพราะเขาไม่ได้มีตัวเลือก หรืออีกตัวเลือกก็คือ ต้องไปซื้อเครื่องประกอบเพื่อให้ได้สเปกตามที่ต้องการ ใกล้เคียงที่สุดก็คือซื้อเครื่องที่รองรับสำหรับการเล่นเกมมาเพื่อใช้งานแบบนี้
แต่ก็มีสิ่งที่เขาไม่ชอบเหมือนกันคือ หน้าตาของเครื่อง Gaming ทั้งในเรื่องของไฟ LED ต่างๆ เขาไม่ได้ใช้ เขาอยากได้ Notebook หน้าตาธรรมดา หน้าตาที่ดู Professional แต่อัดแน่นด้วยกราฟิกแรงๆ ซึ่งไม่จำเป็นที่ CPU จะต้องแรงที่สุด ขอแค่มีค่าจอที่ตรงไม่เพี้ยน นั่นคือสิ่งที่เราได้ Inside มาจากลูกค้าเราเลยแยกแบรนด์ออกมาเป็น Concept D ซึ่งในเรื่องโพรไฟล์พวกนี้แหละที่เรานำมาพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของ Develop Product ให้ตรงกับความต้องการ แล้วก็อีกส่วนในเรื่องของการ Consumer Profile ตรงนี้ว่าปัจจัยสำคัญที่สุดเรียงลำดับลงมาเลยจากความต้องการว่า เวลาคุณเลือกซื้อโน้ตบุ๊กสักเครื่องนั้นดูเรื่องอะไรบ้าง อันดับ 1 ดูเรื่องของ CPU แต่ก่อนบริการหลังการขายจะอยู่อันดับ 5 ตอนนี้บริการหลังการขายขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 และเริ่มมองหาปัจจัยนี้เพิ่มขึ้น นั่นก็ตรงกับสิ่งที่เราคาดคิดไว้ ซึ่งจากข้อมูลตรงนี้ทำให้เราได้ Develop เรื่องศูนย์บริการอย่างจริงจังนั่นเอง”
ต่อยอดกลยุทธ์จาก Predator ขับเคลื่อนไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่
Acer ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการเปิดตัว ‘Predator’ ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อนำเสนอประสบการณ์ขั้นสุดยอดสำหรับการเล่นเกมและความเป็น Virtual Reality จัดเต็มทั้งสเปกและสมรรถนะอัดแน่น และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายสำหรับการทำงานระดับมืออาชีพ เพื่อรองรับทั้งการทำงาน และเล่นสนุกในโลกดิจิทัล
ซึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ในการทำการตลาด Predator ได้ถูกต่อยอดและปรับให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อขับเคลื่อนไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
“ถ้าในเรื่องของ Product Segmentation ภาพการสื่อสารของแบรนด์ในปีนี้ก็คงต้องทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราเคยประสบความสำเร็จเมื่อ 3 ปีก่อนในตอนแยก Predator ออกมาจาก Acer แล้วก็ Communicate กับกลุ่มเล่นเกมแบบเจาะลึก ซึ่งตอนนี้ที่เราเปิด Concept D ไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ที่ทำงานทางด้านการสร้างสื่อความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะออกมา เราจะใช้ Pattern เดียวกัน แต่จะไปในสไตล์ของ Concept D
และสร้างเรื่องของ Brand Image ให้ชัดเจน เพราะอย่างที่บอกในข้างต้นว่าเวลาลูกค้าซื้อเครื่องนั้นจะดูมากกว่าแค่สเปก ยังมีในเรื่องของความภูมิใจ มีเรื่องของ Brand Image นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงแยกแบรนด์ Predator ออกมา และประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะกลุ่มลูกค้าจะมอง Predator เป็น Premium Gaming ซึ่ง Concept D เราจะต้องเดินตาม Pattern นั้น เพื่อให้การสื่อสารทางการตลาดชัดเจนยิ่งขึ้น”
ผลักดันแคมเปญรักษ์โลก ดำเนินธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมาเราได้เห็นแคมเปญเพื่อสิ่งแวดล้อมจาก Acer มากมาย อาทิ แคมเปญ Together We Change เพื่องดใช้ถุงพลาสติก รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้บรรจุภัณฑ์ปราศจากพลาสติกใหม่เกือบ 100% รีไซเคิลได้ 100% และ Acer ยังคงมุ่งมั่นที่จะสานต่อแคมเปญดีๆ เพื่อโลกต่อไป
“เราจะเข้าใจกันอยู่แล้วว่าภาพของ Acer ชัดเจนในเรื่องความเป็น Mass Product แต่สิ่งที่อยากจะพูดเพิ่มเติมก็คือเราเน้นเรื่อง Green ถ้าสังเกตจะเห็นว่า เมื่อเทียบกับ Logo แบรนด์อื่นๆ ในตลาด เราเป็นแบรนด์เดียวที่มีสีเขียวอยู่ด้วย บริษัทแม่ก็ดำเนินนโยบายชัดเจนว่าเราจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่เคลื่อนไหวเรื่อง Green และเป็นเจ้าแรกที่ประกาศจับมือกับดีลเลอร์ว่าด้วยเรื่องของการรักษ์โลก การลดใช้ถุงพลาสติก รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ เราจะเริ่มเปลี่ยนเพื่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในเรื่องของ Display ต่างๆ เราก็เริ่มใช้พัสดุรีไซเคิลเข้ามาแทน และด้วยความต้องการที่จะลดผลกระทบจากการผลิตและการทิ้งบรรจุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันนี้บรรจุภัณฑ์ของ Concept D ก็จะปราศจากพลาสติกใหม่เกือบ 100% และรีไซเคิลได้ 100%
นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง Acer จะรณรงค์ให้นำมาทิ้งที่เรา แล้วทางเราจะจัดการทิ้งอย่างถูกวิธีให้ เพราะขยะอิเล็กทรอนิกส์มันมีข้อเสียคือ ต้องมีกระบวนการในการกำจัดอย่างถูกต้อง ซึ่ง Acer จะช่วยในจุดนั้น โดยที่ศูนย์บริการของเราจะมีกล่องวางเอาไว้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องของเรา จะเป็นอุปกรณ์ไอทียี่ห้อใดก็ได้ สามารถนำมาทิ้งได้เลย เดี๋ยวทางเราจะนำไปจัดการให้ ก็จะมีขั้นตอนในการแยกชิ้นส่วนว่าชิ้นส่วนไหนรีไซเคิลได้หรือไม่ได้ ซึ่งเราจะมีการจ้างบริษัทที่รับกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบเฉพาะทางมาเป็นผู้จัดการต่อ ซึ่งทางAcerเราขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้แทนคุณเองเพื่อโลกของเรา”
เสริมอาวุธ Digital marketing รับเทรนด์อนาคต
ไม่เพียงแต่ปรับรับเทรนด์รักษ์โลก Acerยังได้ปรับตัวและเตรียมแผนเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุค Digital อย่างสมบูรณ์
“เรื่องของตัว Digital Marketing เรามองว่าเทรนด์นี้มีมาประมาณ 2 ปีแล้ว เราก็ขยับตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการสื่อสารกับลูกค้าที่ไปทางดิจิทัลหมดแล้ว และเราก็มีการใช้ในเรื่องของ Influencer ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นข้อดีของตลาดไอทีอย่างหนึ่ง คือ Influencer เขาจะเป็นกลุ่มของคนใช้งานซึ่งจะเป็น Specialist จริงๆ ซึ่งจะไม่ใช่ Mass มากเหมือนสินค้าอื่นๆ พอเราหาได้ว่ากลุ่มไหนเป็น Influencer จริงๆ เราก็จะร่วมกันสร้าง Content ขึ้นมาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้านั้นๆ ได้อย่างตรงจุด
อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะเสริมเข้ามาก็คือ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ แต่ละร้านส่วนใหญ่จะมีเพจเป็นของตัวเอง เราจะมีการประสานกันเรื่อง Content ไปยังเพจของร้านค้า เพื่อให้เป็นมาตรฐาน เป็นรูปแบบเดียวกัน ลูกค้าจะได้ข้อมูลที่ละเอียดและถูกต้องจากเรา และเราก็จะยังคงเน้นเรื่องของ Digital Marketing ให้มากขึ้นต่อไป”
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



