SCG การเดินทางสู่ศตวรรษใหม่ที่อาจต้องใช้กลยุทธ์ตั้งรับมากกว่ารุก (วิเคราะห์)
เม็ดเงินกำไรยังลดอย่างต่อเนื่องมา 3 ปีติดๆ กันแล้วสำหรับเอสซีจี และแน่นอนจากพิษของโควิด-19 ยังทำให้ Q1/63 นี้ รายได้จากการขาย 105,741 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสำหรับงวด 6,971 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัญหาใหญ่ยังมาจากธุรกิจหลัก “เคมิคอลส์” ที่มีปัญหาต่อเนื่องมาจากเรื่องสงครามการค้า ราคาน้ำมันลด ราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง และถูกกระหน่ำซ้ำด้วยพิษโควิด-19 จนทำให้ความต้องการสินค้าในตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะในประเทศจีนที่การสั่งซื้อหายไปเกือบหมด
ในขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างไตรมาสแรกนี้ยังเห็นผลไม่ชัดเจน แต่รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ยอมรับว่าผลกระทบจากโควิดกับการก่อสร้างเพิ่งได้รับผลกระทบเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในไตรมาสที่ 2 และ 3 คงได้เห็นภาพที่ชัดเจนกว่านี้ เพราะในเรื่องของธุรกิจที่อยู่อาศัยน่าจะเป็นการระบายขายโครงการเดิมๆ ส่วนของใหม่คงชะลอไปอีกนาน ในขณะเดียวกันบริษัทใหญ่ที่แข็งแรงคงอยู่ต่อไปได้ แต่รายกลางรายเล็กส่วนหนึ่งอาจจะหายไป
ความหวังเดียวก็คือ รอโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่หวังว่าจะเกิดขึ้นเร็วที่สุด เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระบบ
ที่ผ่านมาธุรกิจซีเมนต์ของเอสซีจีขายให้กับภาคเอกชน 70% รัฐ 30%
ความหวังเดียวของเอสซีจีวันนี้อยู่ที่ธุรกิจแพคเกจจิ้งที่เป็นไปตามการเฟื่องฟูของธุรกิจออนไลน์ ยอดขายและกำไรจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดอาเซียนนั้น ดูเหมือนว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงในประเทศที่น่าจะยังได้ผล เพราะหลายประเทศที่เอสซีจีไปลงทุน เช่น เวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุดนั้น เป็นประเทศที่สามารถควบคุมเรื่องโรคระบาดนี้ได้ดี เช่นเดียวกับกัมพูชาและลาว ดังนั้น การผลิตและการขายในประเทศเหล่านั้นยังไม่ได้รับผลกระทบนัก
รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ทั้งสิ้น 44,859 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออกจากประเทศไทย 24,319 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“เราคงยังไม่กล้าคาดการณ์ตัวเลขทั้งปี เพราะวิกฤตโควิด-19 นี้เพิ่งเริ่ม หลายธุรกิจยังเห็นความเสียหายไม่ชัด คงต้องรอไตรมาส 2 และไตรมาส 3 แต่ผมเชื่อว่ามันจะอยู่กับเราอีกนาน และที่สำคัญจะมีคลื่นลูกที่สองกลับมาอีกหรือเปล่า ไม่รู้
ดูชัดๆ กับตัวเลข Q1/63
ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 38,329 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกัน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,778 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 70 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 46,245 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,778 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 24,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการรวมผลประกอบการ Fajar และ Visy ประเทศไทย โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวทางตั้งรับของเอสซีจีในช่วงสถานการณ์โควิด-19
1. ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องความรวดเร็วในการบริหารจัดการความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ (Business Continuity Management)
2. ขานรับมาตรการภาครัฐเพื่อรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด โดยนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้พนักงานที่สำนักงานกว่าร้อยละ 90 สามารถทำงานได้จากที่บ้าน (Work from home)
3. การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งมอบโซลูชั่นสินค้าและบริการต่างๆ ไปยังลูกค้าทุกกลุ่มมีความสะดวกและปลอดภัย
4. การมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปได้ เช่น การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือการผลักดันการใช้ Blockchain ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง-วางบิล-ชำระเงินกับคู่ธุรกิจได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ยังรักษาสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง พร้อมเตรียมปรับตัวอย่างเต็มที่ในการรับความท้าทายหากสถานการณ์ยาวนานต่อไป
5. เน้นเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานให้มากขึ้น
6. ชะลอการลงทุนและการควบรวมกิจการในต่างประเทศจะทำเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น โดยตามแผนที่วางไว้ 5-7 หมื่นล้านบาทนั้น จะลดลงประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
7. พยายามลดค่าใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่จำเป็นลง เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ และการจัดกิจกรรมต่างๆ
การตั้งรับในแต่ละกลุ่มธุรกิจของ SCG
1. ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีการวางแผนการขายร่วมกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกระบวนการส่งมอบสินค้าและบริการให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ยังคงเสถียรภาพไว้ รวมทั้งการลดข้อจำกัดและอุปสรรคในการดำเนินงาน เพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
2. ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง พัฒนาช่องทางค้าปลีกออนไลน์ของ SCG HOME ทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย บริการให้คำปรึกษาเรื่องบ้านผ่านออนไลน์ ลูกค้าจึงเลือกซื้อสินค้าและรับบริการได้สะดวกโดยไม่ต้องออกจากบ้าน รวมทั้งโฟกัสไปยังธุรกิจรับซ่อมบ้าน
3. ธุรกิจเคมิคอลส์ มุ่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่ผันผวนและท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกให้สอดคล้องกับตลาดที่เปลี่ยนไป ด้วยจุดแข็งในการมีเครือข่ายลูกค้าในหลายประเทศทั่วโลก จึงสามารถเพิ่มโอกาสทางการขายโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ความต้องการใช้งานไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร และบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง
ในขณะที่การช่วยเหลือสังคมนั้น เอสซีจีได้นำความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีอยู่ไปร่วมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในการเร่งพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ และทันต่อความต้องการ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกำลังสำคัญในการดูแลประชาชน
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีมูลค่า 708,931 ล้านบาท โดยร้อยละ 34 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ผู้บริหารเอสซีจีกล่าวว่าบริษัทยังมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะรับมือกับวิกฤตนี้ไปได้อีกนานโดยไม่จำเป็นต้องขอซื้อหุ้นกู้จากธนาคารแห่งประเทศไทย
รุ่งโรจน์ ยังยืนยันว่าวันนี้ในส่วนของซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ยังไม่มีแผนลดคน หรือลดกำลังการผลิต เพราะยังมีช่องทางที่จะส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศได้ แต่ต้องลดสต๊อก และเชื่อว่าการให้ความสำคัญในเรื่องของ Business Continuity Management จะทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้แน่นอน
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



