สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ จะกอบกู้ช่อง 3 ให้กลับมาเฟื่องฟูอย่างไร ? (สัมภาษณ์พิเศษ)

เดือนกันยายน ปี 2560 สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ เคยโบกมือลาช่อง 3 ไปเป็นแม่ทัพคนใหม่ให้กับค่าย PPTV ของหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ

ช่อง 3 คือช่องใหญ่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว 5 ทศวรรษ ส่วน PPTV เป็นช่องน้องเล็ก อายุแค่ 7 ปี  

ช่อง 3 เรตติ้งเป็นเบอร์ 2 (บางครั้งก็ 1 สลับกับช่อง 7) แต่ PPTV ในช่วงเวลานั้นคือเบอร์ 11

ดังนั้นเพื่อให้ “รอด” เจ้าของต้องใจใหญ่ และกล้า “ทุ่ม” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “PPTV World Class TV” ของสุรินทร์ที่ต้องซื้อรายการดัง ๆ ของโลกเพื่อดึงสายตาคนดูมาหยุดที่ PPTV หวังสร้างเรตติ้ง สร้างรายได้เพิ่ม

จากการทุ่มทุนทำให้ปลายปี 2560 PPTV มีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ใน ปี 2561 ยังขาดทุนถึง 1,837 ล้านบาท แต่มีรายได้รวมดีขึ้นถึง 56% (จาก 317 ล้านบาท เป็น 495 ล้านบาท) 

เรตติ้ง PPTV ในช่วงเดือนมิถุนายน อยู่ที่อันดับ 10 ก่อนที่จะกลับมาเป็นอันดับ 11 เมื่อช่วงวันที่ 17-23 ส.ค. ที่ผ่านมา 

ปี 2562 ตัวเลขงบการเงินของ PPTV ยังไม่มีรายงานจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แต่สุรินทร์ก็ลาออกมาแล้วเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 63 เพื่อคืนถิ่นช่อง 3 ของตระกูลมาลีนนท์ Family Business เดิมที่คุ้นเคยมานานถึง 12 ปี ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจทีวี 

สำหรับช่อง 3 ปี 2560 มี รายได้ 11,226 ล้านบาท ผลกำไรลดลงวูบเหลือเพียง 61 ล้านบาท ก่อนจะขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ทศวรรษของการทำธุรกิจในปี 2561 จำนวน 330 ล้านบาท

สุรินทร์กลับมาในวันที่ผลประกอบการแค่ครึ่งปีแรก 2563 ของช่อง 3 มีตัวเลขขาดทุนสูงถึง 541 ล้านบาท 

ทิ้งภาพความรุ่งเรืองในอดีตที่เคยทำรายได้สูงสุดถึง 15,127 ล้านบาท กำไร 5,589 ล้านบาท ในปี 2556 ก่อนเกิดสงครามดิจิทัลทีวี ให้เหลือแค่ความทรงจำที่สวยงาม

และเป็นวันที่คู่แข่งที่เป็นทีวีด้วยกันหลายช่องเริ่มมีความชัดเจนในเรื่องคอนเทนต์ และกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แต่ที่น่าหนักใจกว่าคือคู่แข่งจาก ยูทูบ เฟซบุ๊ก ไลน์ทีวี เน็ตฟลิกซ์ ที่เป็นตัวหลักในการแย่งชิงคนดู กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

แล้วยังถูกกระหน่ำซัดจากปัญหาของเม็ดเงินโฆษณาที่หดหายไปท่ามกลางมหาภัยโควิด ทำให้นาทีขายโฆษณาลดลง การแข่งขันด้านราคาสูงมากขึ้นและยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายเหมือนเดิมได้เมื่อไหร่

 

การกลับมา “กู้” สถานการณ์ของช่อง 3 ในครั้งนี้ “ใจ” ของ สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ต้องกล้าจริง ๆ   

 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สุรินทร์ได้ชี้แจงกับนักวิเคราะห์ว่า ยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจเขาจะเน้น 

 4 กลยุทธ์หลัก ซึ่งมีทั้งระยะยาวและระยะสั้น ได้แก่ 1. การปรับปรุงคอนเทนต์ ข่าว ละคร และรายการวาไรตี้ 2. การนำคอนเทนต์ของกลุ่มไปสู่แพลตฟอร์มที่หลากหลาย  3. การขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปต่างประเทศ ซึ่งมีตลาดหลักที่ 3 กลุ่มประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลี และกลุ่มอาเซียน และ 4. สร้างรายได้ทางช่องทางออนไลน์ผ่าน Ch3+ เป็นหลัก

รวมทั้งจะเริ่มปรับข่าวเที่ยงก่อนในช่วงแรก

และที่สำคัญช่องจะไม่มีนโยบายเน้นรายการประเภท Shopping โดยเฉพาะเหมือนกับที่อีกหลายช่องกำลังทำ เพราะกลัวกระทบต่อเรตติ้งโดยรวมของช่อง

รายละเอียดของกลยุทธ์ทั้งหมด สุรินทร์บอกกับ Marketeer ว่า ขอเวลาอีกประมาณ 2-3 เดือนน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

ก็ต้องเอาใจช่วยกันว่าประสบการณ์เก่า ๆ ที่เขามีอยู่จะเพียงพอหรือไม่ที่จะกอบกู้ให้ช่อง 3 ผงาดกลับมาอีกครั้ง ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีปัญหาใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงท้าทายตลอดเวลา

FYI 

 สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ระดับปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Middle Tennessee State University สหรัฐอเมริกา

เคยทำงานด้านการตลาดที่บริษัท ลีเวอร์ บราเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ 6 ปี ผลงานที่โดดเด่นของเขา คือ การนำไอศกรีมวอลล์ออกสู่ตลาดในปี 2531  

เมื่อปลายปี 2537 ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท เป๊ปซี่ โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (PCI) เป็นดูแลรับผิดชอบด้านการตลาดให้กับ 3 ผลิตภัณฑ์หลัก เป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่นอัพ

ก่อนที่จะเข้ามาร่วมงานกับช่อง 3 เมื่อปี 2548 ในยุคที่สื่อทีวีเริ่มขับเคลื่อนด้วยพลังการตลาด

ทำอยู่ 12 ปี ก่อนไปเป็นผู้บริหารช่อง PPTV เมื่อปี 2560 และหวนกลับมาบริหารช่อง 3 อีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 63 ที่ผ่านมา   

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer