เว็บไทยยุคดอทคอม ตามไปดูใครเป็นใครและวันนี้รายได้เป็นอย่างไร ? (วิเคราะห์)

วันนี้คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 52 ล้านคน คิดเป็น 75% ของประชากรไทย และใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากกว่า 10.22 ชั่วโมงต่อวัน อ้างอิงจาก We Are Social และ ETDA

จำนวนผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในวันนี้ ทำให้เห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็น New Normal ของคนไทยในยุคปัจจุบัน

ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีตเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เป็นช่วงแรกที่คนไทยเริ่มเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย จากราคาอินเทอร์เน็ตที่ลดลง และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มีการติดตั้งอินเทอร์เน็ตเพื่อให้นักศึกษาใช้ค้นคว้าหาความรู้

ซึ่งยุคนั้นเป็นช่วงเวฟแรกของธุรกิจดอทคอม ที่เบ่งบานอย่างมหาศาล จากจำนวนเว็บไซต์ที่ก่อตั้งโดยคนไทยเกิดมามากหน้าหลายตา และบางเว็บไซต์ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาขอซื้อต่อ เพื่อนำไปต่อยอดในรูปแบบต่าง ๆ

และยังมีธุรกิจดอทคอมจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทย รวมถึงเว็บไซต์ของคนไทยที่มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศหนุนหลังด้านการเงิน โดยหวังว่าถ้าเว็บไซต์เกิดโอกาสในการสร้างรายได้ก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน

ในช่วงเวลาที่ธุรกิจดอทคอมเบ่งบานในประเทศไทย เว็บไซต์ดอทคอมของคนไทยที่เป็นกระแสได้รับความนิยมจะมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. เว็บท่า

เว็บที่มีจุดมุ่งหมายหลักคือ รวมลิงก์ของเว็บไซต์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันในเว็บเดียว เนื่องจากเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์ถือเป็นเรื่องใหม่ และคนไทยยังมีประสบการณ์กับการค้นหาผ่าน Search Engine ที่ยังน้อยอยู่

ประกอบกับช่วงเวลานั้นมีเว็บไซต์ใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชากรเน็ตในยุคนั้นจึงต้องการศูนย์รวมเว็บไซต์เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ในกลุ่มที่ต้องการได้อย่างสะดวกขึ้น

ในกลุ่มเว็บไซต์ที่ดังเป็นพลุแตกในอดีตได้แก่ Sanook.com, Hunsa.com, Kapook.com และ MThai ซึ่งเป็นเว็บที่บางคนจัดอยู่ในกลุ่มเว็บท่า

โดยเฉพาะ Sanook.com เป็นเว็บท่าที่ได้รับความนิยมสูง มีทราฟิกเข้ามาใช้บริการในแต่ละวันจำนวนมหาศาล และกระแสความฮิตของ Sanook.com เป็นที่หมายปองจากนักลงทุนต่างประเทศอย่าง บริษัท เอ็มเว็บ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ MIH บริษัทโทรคมนาคมจากประเทศแอฟริกาใต้ เข้ามาซื้อกิจการจากปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ก่อตั้ง Sanook.com ไปดูแลต่อ ด้วยจำนวนเงินที่คาดการณ์กันว่าน่าจะมากถึง 10 ล้านบาท

และหลังจากที่ปรเมศวร์ มินศิริ ขาย Sanook.com ให้กับเอ็มเว็บ ปรเมศวร์จึงมาเปิดเว็บไซต์ใหม่ที่ชื่อ Kapook.com ในรูปแบบเว็บท่าขึ้นมาแข่งกับ Sanook.com อีกเว็บไซต์หนึ่ง

ส่วนในปัจจุบัน Sanook.com ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับเทนเซ็นต์ ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน และเปลี่ยนชื่อบริษัทจากบริษัทสนุก ออนไลน์ จำกัด เป็น บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ ให้บริการมากขึ้น เช่น แพลตฟอร์มฟังเพลง Joox เป็นต้น

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดูแล Sanook.com มีรายได้ดังนี้

2560       610.33 ล้านบาท   ขาดทุน  27.01 ล้านบาท

2561       1,069.70 ล้านบาท  ขาดทุน  58.55 ล้านบาท

2562       1,188.95 ล้านบาท ขาดทุน  66.12 ล้านบาท

ส่วน Kapook.com ที่ปรเมศวร์ มินศิริ ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ในปี  2543 จดทะเบียนในชื่อบริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์  ปัจจุบันมีรายได้ดังนี้

2560       99.14 ล้านบาท ขาดทุน  6.77 ล้านบาท

2561       92.62 ล้านบาท ขาดทุน  6.19 ล้านบาท

2562       85.32 ล้านบาท ขาดทุน  12.20 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ เว็บไซต์อย่าง MThai เป็นอีกเว็บหนึ่งที่มีการซื้อขายเว็บเกิดขึ้น โดยในอดีตผู้ก่อตั้ง MThai ที่มีนามแฝงว่า เจิน เจิน ต้องการสร้างเว็บ MThai ให้เป็น Magazine Online for Thai ทำให้ตั้งชื่อเว็บว่า MThai ซึ่งคำว่า M มาจาก Magazine

ในยุคเปิดตัว MThai มีความเป็นวาไรตี้ ทั้งคอนเทนต์ต่าง ๆ เว็บบอร์ด และที่สำคัญเป็นเว็บท่าที่รวมลิงก์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถกดเชื่อมต่อไปยังเว็บอื่น ๆ ได้ ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ว่าอัปเดตทุกลมหายใจ

ซึ่งกระแส MThai เวลานั้นค่อนข้างดีอีกเว็บหนึ่ง ทำให้บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน)) ซื้อกิจการมาดูแลต่อใน พ.ศ. 2547 และพัฒนาคอนเทนต์ต่อยอดสร้างทราฟิกอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) ที่  MThai สังกัดอยู่มีรายได้ที่

2560       2,528.67 ล้านบาท กำไร 58.17

2561       2,399.23 ขาดทุน 193.27

2562       2,150.39 ขาดทุน 616.19

ในส่วนของ Hunsa.com ในวันนี้ยังคงเปิดให้บริการ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนักจึงไม่ขอกล่าวถึง

2. เว็บบอร์ด

กระแสที่ได้รับความนิยมอีกรูปแบบหนึ่งในดอทคอมเวลานั้น คือเว็บบอร์ดพื้นที่ที่เปิดให้ประชากรเน็ตเข้ามาตั้งกระทู้คำถามเพื่อหาคำตอบ หรือพูดคุยในทอปปิกนั้น ๆ

เว็บบอร์ดที่ฮิตในเวลานั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เว็บบอร์ดคือ Pantip.com และ Dek-D.com

Pantip.com ถือเป็นเว็บบอร์ดผู้บุกเบิกวงการเว็บบอร์ดไทย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2339 โดยวันฉัตร ผดุงรัตน์ และเริ่มจากเว็บบอร์ด Technical Chat เพื่อคุยกันเรื่องไอทีเป็นเว็บบอร์ดแรก ก่อนที่จะเพิ่มเป็นเว็บบอร์ดอื่น ๆ ในเวลาต่อมา

คำว่าพันทิปมาจากคำว่าพัน ที่แปลว่า 1,000 และทิปที่เป็นข้อแนะนำ หรือเคล็ดลับ

ปัจจุบัน Pantip.com ยังคงเป็นไซต์ประเภทเว็บบอร์ดที่ยืนหนึ่งในประเทศไทย จดทะเบียนบริษัทในนาม บริษัท อินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีรายได้ดังนี้

2560       131.68 ล้านบาท   กำไร  44.05 ล้านบาท

2561       112.20 ล้านบาท   กำไร  26.55 ล้านบาท

2562       127.00 ล้านบาท   กำไร  39.35 ล้านบาท           

อีกเว็บหนึ่งที่จะกล่าวถึงคือ Dek-D.com เว็บไซต์ที่เกิดจากเด็กมัธยมปลาย 4 คน ได้แก่ วโรรส โรจนะ, ณปสก สันติสุนทรกุล, สรวงศ์ ดาราราช และ สุปิติ บูรณวัฒนาโชค ที่ต้องการให้เว็บบอร์ดของตัวเองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเรียนและเรื่องวัยรุ่น เพราะพวกเขามองว่า Pantip.com มีความเป็นแมสสูง

โดย Dek-D.com จดทะเบียนในนาม บริษัท เด็กดี อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด ปัจจุบันมีการพัฒนาคอนเทนต์ต่าง ๆ มาต่อยอดธุรกิจที่นอกเหนือจากเว็บบอร์ด และมีรายได้ย้อนหลัง 3 ปี ดังนี้

2560       120.97 ล้านบาท กำไร  11.55 ล้านบาท

2561       113.45 ล้านบาท   ขาดทุน  8.01 ล้านบาท

2562       124.64 ล้านบาท   ขาดทุน  14.44 ล้านบาท

 

3. อีคอมเมิร์ซ

ในช่วงเวลานั้นอีคอมเมิร์ซเป็นแพลตฟอร์มอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจถูกจับจ้องจากตลาดจากการมองเห็นความสำเร็จของ amazon.com และ eBay.com ในฝั่งอเมริกา

ยุคเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่อีคอมเมิร์ซรอบแรกเติบโตสูงสุดด้านผู้เล่น จากการมีเว็บไซต์ที่เปิดบริการอีคอมเมิร์ซในรูปแบบ B2G, B2B, B2C และ C2C จำนวนมาก และมีการเปิดตัวจำนวนมากเช่นกัน จากความไม่พร้อมของคนไทยในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์

ซึ่งความไม่พร้อมนี้ประกอบด้วย ความเชื่อมั่นในสินค้า ช่องทางการชำระเงิน และการจัดส่ง

สำหรับเว็บไซต์ที่โดดเด้งในวงการอีคอมเมิร์ซเวลานั้น ได้แก่ เว็บไซต์ ThaiSecondhand.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์แรกในเส้นทางอีคอมเมิร์ซของ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ

ซึ่ง ThaiSecondhand.com เป็นศูนย์รวมสินค้ามือสอง (และมือหนึ่ง) จากผู้ขายมือสมัครเล่น ก่อนที่จะต่อยอดธุรกิจไปที่ Tarad.com เว็บร้านค้าอีคอมเมิร์ซ

ในปัจจุบัน ThaiSecondhand.com ยังคงให้บริการอยู่ แต่โดดเด่นเหมือนในอดีต โดย ThaiSecondhand.com อยู่ภายใต้บริษัท ตลาด ดอท คอม กรุ๊ป จำกัด มีรายได้ 2 ปีที่ผ่านมาดังนี้

2561       13.28 ล้านบาท     ขาดทุน 12.84 ล้านบาท       

2562       40.87 ล้านบาท     ขาดทุน 21.28 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ใกล้เคียงกับอีคอมเมิร์ซ จะมีอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความน่าสนใจในช่วงเวลานั้น คือ Silkspan.com เป็นนายหน้ารับทำบัตรเครดิต ขายประกัน และยื่นขอสินเชื่อธนาคาร ซึ่งในเวลานั้นธุรกิจในรูปแบบนี้แทบไม่มีคู่แข่ง

ปัจจุบัน Silkspan.com ต่อยอดธุรกิจของตัวเองจากนายหน้ารับทำบัตรเครดิต ขายประกัน และยื่นขอสินเชื่อธนาคาร สู่การเป็นโบรกเกอร์ให้บริการทำประกันด้วย

ในปัจจุบันภายใต้ Silkspan.com จดทะเบียนในนาม 2 บริษัท ได้แก่

บริษัท ซิลค์สแปน จำกัด นายหน้ารับทำบัตรเครดิต ขายประกัน และยื่นขอสินเชื่อธนาคาร มีรายได้ย้อนหลัง

2560       30.91 ล้านบาท ขาดทุน 32.46 ล้านบาท

2561       40.48 ล้านบาท  ขาดทุน 148.56 ล้านบาท

2562       38.74 ล้านบาท    ขาดทุน 46.88 ล้านบาท

 

และบริษัท ซิลค์สแปน อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์เรจ จำกัด มีรายได้ดังนี้

2560        301.18 ล้านบาท ขาดทุน  30.18 ล้านบาท

2561       286.49 ล้านบาท  ขาดทุน  86.47 ล้านบาท

2562       344.57 ล้านบาท ขาดทุน  20.27 ล้านบาท      

ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่ เว็บไทยยุคดอทคอม เบ่งบานในยุคนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ธุรกิจดอทคอมทั่วโลกบูมจากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่าง ๆ เกิดบริษัทเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมามากจากการมองว่าอินเทอร์เน็ตคืออนาคตของธุรกิจ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่ควรเป็น จนเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นมา

และฟองสบู่ดอทคอมก็เริ่มทยอยแตกในปี 2543 จากนักลงทุนที่เริ่มถอนตัวออกจากการลงทุนในธุรกิจดอทคอมเพราะมองว่าผลที่ได้กลับมาไม่คุ้มค่า หรือไม่ตรงกับที่เคยวางธุรกิจไว้

ซึ่งภาวะฟองสบู่นั้นส่งผลกระทบกับประเทศไทยเช่นกัน มีการปิดตัวลงของเว็บไซต์ดอทคอมต่าง ๆ ไปจากตลาดจำนวนมาก ด้วยเหตุผลคือผู้ลงทุนไม่ไปต่อ

ทั้งนี้ แม้เว็บไซต์ดอทคอมของไทยในยุคแรก ๆ จะมีหลายเว็บที่รอดพ้นจากฟองสบู่ดอทคอมแตก แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าธุรกิจของเว็บไซต์เหล่านี้ประสบกับสภาวะขาดทุนเกือบทุกบริษัท ซึ่งข้อมูลนี้อ้างอิงจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

การขาดทุนของ เว็บไทยยุคดอทคอม เหล่านี้เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก

1. รายได้จากการขายโฆษณาที่ลดลง เนื่องเว็บไซต์เหล่านี้รายได้จะมาจากโฆษณาเป็นหลัก

2. การลงทุนที่เพิ่มขึ้นเพื่อแข่งขันในธุรกิจ เพราะในวันนี้นอกจากเว็บไซต์ไทยจะแข่งกันเองแล้ว ยังต้องแข่งขันกับคู่แข่งคนสำคัญคือโซเชียลมีเดีย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer