ตลาดถุงมือยาง ขายดีเพราะโควิด หรือจะกลายเป็นไอเท็มที่ชีวิตต้องมี (วิเคราะห์)

2563 ถือเป็นปีปรากฏการณ์ ตลาดถุงมือยาง ไทยถูกปลุกขึ้นมาเติบโต ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มจาก 25,000 ล้านชิ้น ในปี 2563 เป็น 46,000 ล้านชิ้น

การเติบโตของกำลังการผลิตถุงมือยางอย่างก้าวกระโดด มาพร้อมกับผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด และการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตถุงมือยางรายเดิม

อย่างเช่นผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ปตท. จับมือกับ IRPC ร่วมกันผลิตถุงมือยางสังเคราะห์ (ไนไตรล์) ที่จะเข้ามาทำตลาดในอนาคต

จนปัจจุบันโรงงานผลิตถุงมือยางไทยมีมากถึง 47 โรงงาน มีศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย)​ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในไทย

และไทยเป็นผู้ผลิตถุงมือยางป้อนตลาดโลก เป็นอันดับสองของโลก รองจากมาเลเซีย

ในปีที่ผ่านมา ตลาดโลกมีความต้องการถุงมือยาง 360,000 ล้านชิ้น

ส่วนในปีนี้ EIC คาดการณ์ว่า ความต้องการถุงมือยางโลกจะเพิ่มเป็น 420,000 ล้านชิ้น

และไทยจะมีกำลังการผลิตได้ 56,000 ล้านชิ้น

 

ความต้องการถุงมือยางยังมีอยู่ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีความจำเป็นในการใช้ถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง

แม้ในปีนี้ประชากรโลกจะมีการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องก็ตาม

 

เพราะการใช้ถุงมือยาง นอกจากการใช้สำหรับทางการแพทย์ทั่วไป การแพทย์รักษาโควิด-19 การฉีดวัคซีนก็ต้องใช้เช่นกัน และการใช้งานถุงมือยางที่ลดกระจายการแพร่ระบาดคือต้องเปลี่ยนถุงมือยาง 1 คู่ หรือ 2 ชิ้นทุกครั้ง หลังจากการรักษา หรือฉีดวัคซีนให้กับคนไข้ 1 คน

 

นอกจากความต้องการถุงมือยางในวงการการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปรับเปลี่ยนให้วงการอื่น ๆ ต้องการถุงมือยางเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความสะอาด และความมั่นใจให้กับตัวเองและผู้ใช้บริการ

 

เช่น วงการอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และอื่น ๆ ที่หลายแห่งมีการปรับให้พนักงานใส่ถุงมือยางเพื่อความปลอดภัยของพนักงานและผู้ใช้บริการ เป็นต้น

 

แต่ความต้องการถุงมือยางจำนวนมหาศาลเกินความต้องการที่ใช้งานปกติก่อนโควิด-19 ระบาดยังคงมีได้อีกนานแค่ไหน

นักวิเคราะห์ EIC วิเคราะห์ว่าปี 2565 จะเป็นปีที่ถุงมือยางโลกมีความต้องการชะลอตัวลงถึง 21% เมื่อเทียบกับปี 2564 จากความต้องการถุงมือยางที่เปลี่ยนไปจากการใช้สำหรับตรวจหาผู้ติดเชื้อ และรักษาผู้ป่วย COVID-19 ไปสู่การใช้ถุงมือยางสำหรับฉีดวัคซีนป้องกัน

ซึ่งแม้จะยังคงมีความต้องการใช้ถุงมือยางปริมาณมากอยู่ แต่การใช้ถุงมือยางสำหรับรักษาผู้ป่วย COVID-19 จะต้องใช้อย่างต่อเนื่อง และยืดเยื้อมากกว่าการใช้เพื่อฉีดวัคซีนต้องใช้ถุงมือยาง 2 คู่ต่อผู้ได้รับวัคซีน 1 คนเท่านั้น

 

EIC แนะนำว่าผู้ประกอบการถุงมือยางอาจกระจายความเสี่ยงด้วยการผลิตถุงมือยางประเภทอื่นๆ เช่น ถุงมือยางสำหรับภาคอุตสาหกรรม ถุงมือยางสำหรับครัวเรือน นอกเหนือไปจากถุงมือยางทางการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาคุณสมบัติถุงมือยางเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้เฉพาะทางมากยิ่งขึ้น เช่น น้ำหนักเบา ยืดหยุ่น ทนความร้อนหรือสารเคมีได้ดีขึ้น ลดความอับชื้นระหว่างสวมใส่ รวมไปถึงการปรับสูตรการผลิตเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่แพ้สารโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ ก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับถุงมือยางได้

 

นอกจากนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers : NBTs) ที่ประเทศคู่ค้าอาจหยิบยกมาเป็นเงื่อนไขทางการค้า ก็เป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนของไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อลดอุปสรรคด้านการค้าในอนาคต เช่น ประเด็นการละเมิดสิทธิแรงงาน ที่สหรัฐอเมริกาได้ยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการแบนการนำเข้าถุงมือยางจากผู้ประกอบการบางรายในมาเลเซียแล้ว รวมถึงมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศพัฒนาแล้ว ก็เป็นแรงผลักให้ผู้ประกอบการถุงมือยางไทยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตถุงมือยางที่ย่อยสลายง่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมถุงมือยางไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

ส่วนปีนี้ยังคงเป็นปีที่สดใสของ ตลาดถุงมือยาง จากความต้องการสูงของตลาดโลก แต่ตลาดนี้มีความท้าทายในเรื่อง

1. ราคาวัตถุดิบที่เป็นน้ำยางข้นปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการของตลาด จากเดือนธันวาคม 2563 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 42.8 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 50.1 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนมีนาคม 2564

2. ความต้องการยางพาราในอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มกลับมา

จากในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ใช้น้ำยางพารามากที่สุดอันดับหนึ่งของประเทศไทย มีการใช้น้ำยางพาราเหลือเพียง 49% ของปริมาณผลิตน้ำยางพาราทั้งหมดในประเทศไทย จากปกติที่เคยใช้เฉลี่ยปีละ 60% ของอัตราการผลิตน้ำยางพาราทั้งหมด

น้ำยางพาราที่หายไปจากการผลิตยางรถยนต์ในปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งได้ถูกนำไปใช้กับการผลิตถุงมือยาง

ตามปกติแล้วการผลิตถุงมือยางจะใช้น้ำยางพาราสัดส่วน 10% ของอัตราการผลิตน้ำยางพาราทั้งหมด แต่ในปีที่ผ่านมามีสัดส่วน 13% อัตราการผลิตน้ำยางพาราทั้งหมด

การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนน้ำยางพาราในการผลิตถุงมือยาง ถ้าอุตสาหกรรมยางรถยนต์ยังคงไม่กลับมา อาจจะไม่มีปัญหาในเรื่องน้ำยางพาราขาดตลาดมากนัก

แต่ในปีนี้ EIC คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับมา และเกิดอัตราการใช้น้ำยางพาราในการผลิตยางรถยนต์เพิ่มขึ้นตามมา

สิ่งนี้อาจจะทำให้ผู้ผลิตถุงมือยางไทยอยู่ในสภาวะความเสี่ยงน้ำยางขาดตลาดได้เช่นกัน เพราะปริมาณผลผลิตยางพาราไทยในปีนี้มีแนวโน้มอยู่ที่ 4.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2563 ที่ปริมาณผลผลิตอยู่ที่ 4.7 ล้านตัน

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer