ชัดเจนว่าในยุคปัจจุบันนี้พนักงานมากมายชอบการทำงานที่บ้านหรือการทำงานจากที่ไหนก็ตามที่เขาอยากทำมากขึ้น ในขณะที่เหล่าคณะผู้บริหารอยากให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ
เนื่องจากการทำงานทางไกลแบบไม่นึกไม่ฝันในช่วง 2 ปีมานี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก
มันก็ไม่จำเป็นเลยที่จะสั่งให้พนักงานเดินทางมาในเมืองเพื่อนั่งทำงานในห้องเล็ก ๆ 8 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
เพื่อความยุติธรรม เป็นเรื่องท้าทายสำหรับการบริหารจัดการธุรกิจเช่นกันในการตรวจตราพนักงานอย่างทั่วถึง บริษัทจำเป็นต้องปรับนโยบายและใช้เทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดต่อกับพนักงานที่ทำงานที่บ้านและคนอื่น ๆ หัวหน้าทีมจำเป็นต้องคอยติดตามตลอดว่าสมาชิกทีมอยู่ที่ไหนกันบ้าง
เป็นเรื่องง่ายกว่าสำหรับหัวหน้าที่จะรวมทุก ๆ คนมาทำงานในที่เดียวกัน ผู้จัดการสามารถเดินดูพนักงานเพื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแอบอู้เล่นโซเชียลมีเดียหรือซื้อของจากอเมซอน
หัวหน้าหลาย ๆ คนรู้สึกหงุดหงิดใจที่เขาไม่สามารถตรวจตราพนักงานได้เมื่อพวกเขาทำงานที่บ้าน อีกทางเลือกที่น่าสนใจน้อยกว่าของพวกเขาก็คือการให้ทำงานแบบไฮบริด นั่นหมายถึงการเชิญชวนให้พนักงานมาทำงานที่ออฟฟิศ 2-3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นแผนที่ไม่ดีเอาซะเลยสำหรับทั้งพนักงานและบริษัท พนักงานบ่นว่าพวกเขาต้องเดินทางไปกลับ 3 ชั่วโมงเพื่อเสี่ยงสุขภาพตนเองในเมืองเพียงเพื่อนั่งในห้องเล็ก ๆ ส่งอีเมลและประชุมผ่าน Zoom ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำที่บ้านก็ได้
ที่แย่ไปกว่านั้น คนที่พวกเขาต้องทำงานด้วยไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศตลอดเวลา ก็ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ แล้วไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายอีก การเดินทางมีค่าใช้จ่ายสูง การสั่งอาหารเช้าและกลางวันทุกวันก็เช่นกัน แล้วถ้าเราน้ำหนักขึ้นในช่วงกักตัว เราก็ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อไปออฟฟิศ ถ้าเราต้องขับรถ ค่าน้ำมันและค่าทางด่วนก็ทำกระเป๋าเบาได้
ในช่วงเวลาโรคระบาดที่หลาย ๆ คนบอกว่าสามารถทำงานที่บ้านได้ แต่บริษัทอย่างอเมซอน ไมโครซอฟท์ และเฟซบุ๊ก หรือตอนนี้คือ Meta ก็ได้ซื้อ สร้าง หรือเช่าออฟฟิศมากมายทีเดียว
ผู้บริหารในองค์กรระดับโลกเหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะ พวกเขาไม่ได้ซื้อออฟฟิศโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทั้ง ๆ ที่ผู้คนมากมายให้คุณค่าการทำงานทางไกล แต่มันก็ชัดเจนว่าผู้บริหารเหล่านี้รู้ว่าวันหนึ่งก็ต้องกลับออฟฟิศ
เมื่อเวลาผ่านไป เป็นไปได้อย่างสูงว่าผู้บริหารจะหงุดหงิดมากกับการติดตามว่าใครเข้าออฟฟิศบ้าง ลืมบอกให้ทุกคนมาประชุมสำคัญกับลูกค้าและโทษว่าเป็นเพราะทุกคนไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศ ความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริงเหล่านี้อาจจะนำไปสู่ความเกลียดชังได้ในที่สุด
คนที่อยู่ที่บ้านอาจจะรู้สึกถูกลืมและถูกทอดทิ้ง จะมีคนที่ตัดสินใจเข้าออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเจอหน้าเหล่าหัวหน้าและผู้บริหารระดับสูง จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ก็คือเพื่อให้หัวหน้าเห็นพวกเขา พวกเขาจะได้รับมอบหมายงานที่ดีขึ้นและได้ความก้าวหน้าทางอาชีพ ซึ่งจะนำไปสู่เงินเดือนและโบนัสที่เยอะขึ้น
คนที่ไม่สนใจเกมนี้คือคนที่มีภาระต้องรับผิดชอบเนื่องจากพวกเขามีลูก หรือคือคนที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าโดยไม่ต้องเดินทางไปมา พวกเขาก็จะเริ่มไม่พอใจพนักงานที่หวังประโยชน์จากการโผล่ไปออฟฟิศ
พนักงานจะถูกแบ่งออกเป็นหลายจำพวกและวัฒนธรรมองค์กรก็จะย่ำแย่ลง ความตึงเครียดจะก่อตัวขึ้น ผู้คนออกจากงานกันค่อนข้างง่ายเนื่องจากตอนนี้งานล้นตลาด มีงานว่างรอประมาณ 11 ล้านงาน เป็นเรื่องยากที่จะหาคนมาแทนเพราะการแข่งขันการจ้างงานสูง และด้วยภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น การหาพนักงานใหม่นั้นมีราคาแพงกว่าการจ่ายเงินเดือนพนักงานเก่า
ในที่สุดแล้ว สถานการณ์ก็จะต้องเปลี่ยนไป แรงกดดันจากผู้บริหารระดับกลางที่รับภาระเยอะเกินไป การร้องเรียนจากคนที่ถูกมองข้ามเพราะทำงานที่บ้านและทุกคนที่เบื่อตารางงานที่รวนและขัดแย้งกันไปมา ผู้บริหารระดับสูงก็จะให้ทุกคนกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์
เราจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างเกิดขึ้น จะมีบางธุรกิจ เช่น ธนาคารการลงทุนแห่ง New York City รายใหญ่ที่ยืนยันหนักแน่นให้นายหน้า นักธุรกิจ และผู้บริหารการเงินของพวกเขามาทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ บางบริษัทอาจจะใช้มาตรการให้ทำงานที่บ้านก่อนเป็นกลยุทธ์การแข่งขันเพื่อหลอกล่อคนที่มีความสามารถมาจากบริษัทที่บังคับให้พนักงานไปทำงานที่ออฟฟิศ
เป็นไปได้สูงทีเดียวสำหรับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่มีซอฟต์แวร์ชั้นเลิศ แพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน และผู้บริหารที่เก่งกาจ มานำร่องแผนการทำงานแบบไฮบริด
ถ้าเรากำลังมองหางานใหม่ เราจำเป็นต้องศึกษาสไตล์การทำงานของบริษัทนั้น ๆ ด้วยว่า ทำงานทางไกล ทำงานแบบไฮบริด มีความยืดหยุ่น เน้นทำงานออนไลน์เป็นหลักหรือต้องเข้าออฟฟิศตลอดเวลา เราคงไม่อยากโดนบังคับและอยากจะลาออกเพียงแค่ทำงานไม่กี่เดือนหรอก
ที่มา:
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



