ถึงวันนี้คำว่า อย่าให้ใครว่าไทย ที่กระตุ้นการรับรู้ของผู้คนผ่านภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง“ไทยเท”คนมักง่าย “ไทยฮุบ” คนชอบคอร์รัปชั่น “ไทยผีเข้า”คนไม่มีน้ำใจ “ไทยหัวสูง” คนใช้เงินเกินตัว  ของเครือข่ายอนาคตไทยคงผ่านสายตาสร้างการรับรู้ให้คนไทยไปแล้วระดับหนึ่ง

ภาพยนตร์ชุดนี้นำเสนอปัญหาที่เราเห็นจนชินตาอยู่ในสังคมไทย โดยลึกๆ เราคนไทย ต่างรู้สึกอับอายที่ยังมีพฤติกรรมแบบนี้และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

สร้างยุทธศาสตร์การรับรู้กระตุกต่อมคิด

เครือข่ายอนาคตไทย ที่เกิดจากการรวมตัวขององค์กรต่างๆ โดยมีองค์กรเริ่มต้น 5 องค์กรประกอบด้วย กรมประชาสัมพันธ์ หอการค้าไทย มูลนิธิมั่นพัฒนา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย มีเจตนารมณ์   ที่จะสร้างคนไทยและสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง โดยกระตุ้นให้คนไทยบางกลุ่มปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ทัศนคติเชิงลบ ลดเลิกนิสัยและพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หันมามีจิตสำนึกและพฤติกรรมที่ดี มีวินัย สร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อเป็นฐานรากใหม่ สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย และสร้างความเชื่อมั่นแก่นานาชาติ

            คำถามต่อมาก็คือหลังจากนี้แล้ว แผนงานของโครงการนี้จะเป็นอย่างไรต่อจะดังขี้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องหรือค่อยๆแผ่วและหายไปเหมือนแคมเปญของเครือข่ายพลังบวก ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้หรือไม่

วิทวัส ชัยปาณี นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นกับ “Marketeer” ว่า  โครงการรณรงค์อย่าให้ใครว่าไทย ถูกดีไซน์รูปแบบขึ้นมาใหม่โดยพัฒนาจากจุดอ่อนของโครงการดีๆหลายโครงการที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่สามารถสร้างพลังในการเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ๆที่ดีๆในสังคมไทยได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้

จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดคือการประชาสัมพันธ์ที่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำได้นั้นขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ 1.งบประมาณ 2. พันธมิตรจำนวนมากที่พร้อมจะผนึกกำลังและหันมาพูดในเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกัน

สำหรับเรื่องงบประมาณนั้นในปี 2558 ทางโครงการได้รับเงินสนับสนุนจาก มูลนิธิมั่นพัฒนา ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 28 ล้านบาท   เพื่อใช้ทำแคมเปญ “อย่าให้ใครว่าไทย” ที่ออกมาเป็นสปอร์ตโฆษณา 4ชุด ผ่านทางสื่อทีวีและทางโซเชียลมีเดียต่างๆ  ซึ่งมีผลให้รัฐบาลเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น  หลังจากนั้นประมาณเดือนกันยายนที่ผ่านมา  สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ก็อนุมัติเงินก้อนแรกมา148 ล้านบาท

สำหรับระยะเวลาของแคมเปญ 3 ปี (2558-2560)  วิสทวัสคาดว่า  งบประมาณจากภาครัฐที่จะได้ใน 2 ปีข้างหน้าไม่น่าต่ำกว่า 500 ล้านบาท

พร้อมๆกันนั้นทางเครือข่ายได้เริ่มเชิญชวนหน่วยงานต่างๆเข้ามาร่วมโครงการจนล่าสุดมีองค์กรเครือข่ายเข้าร่วมโครงการมากกว่า 77 องค์กรและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ทุกองค์กรมีเจตนารมย์ในการผนึกกำลังร่วมกันในการรณรงค์ให้ “คนไทย” และ “ประเทศไทย” เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานของความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมใน 4 มิติได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม

พันธมิตรนี้จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆแรกคือ กลุ่มที่ทำ csr อยู่แล้ว  วิธีการที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทำได้โดยกำหนดให้บางโครงการของ CSR หันมาใช้ธีม “อย่าให้ใครว่าไทย”    เช่น  ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันทำแคมเปญ “อย่าให้ใครว่าไทยไม่ออม”  เอสซีจี  ใช้แคมเปญ “อย่าให้ใครว่าไทยไร้ปัญญา”  ซึ่งเชื่อมโยงกับโครงการพลังปัญญา ที่เอสซีจีทำอยู่แล้วโดยการไปสอนผู้คนในต่างจังหวัดในเรื่องการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน

หรือบริษัทมิตรผลที่ทำเรื่อง ลดหนี้ สร้างอาชีพเสริม กับกลุ่มเกษตรกร อยู่แล้ว  โครงการของเขาก็เปลี่ยนมาใช้ธีม “ อย่าให้ใครว่าเกษตรกรไทยเป็นหนี้”

“ทั้งหมดคือกลุ่ม CSR  ที่จะพลิกมาใช้ ธีมเดียวกัน ซึ่งจะยิ่งช่วยกระจายและตอกย้ำคำนี้ออกไปให้กว้างและมากกว่า 4 เรื่องเดิม ที่เราจุดประกายไว้”

ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มสื่อที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางของตนเอง  หรือแม้แต่กลุ่มเดิมที่มีสื่อในมือก็ช่วยประชาสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกันเช่นตู้เอทีเอ็มของ SCB  จะขึ้o VTR “อย่าให้ใครว่าไทย” การประปานครหลวงก็ดึงไปใช้ในกิจกรรม “อย่าให้ใครว่าไทยไม่รักษ์น้ำ” รวมทั้งอย่าให้ใครว่าไทยในเรื่องอื่นๆอีกหลายๆเรื่องด้วย

การสะกิดให้คนได้คิด และให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ผ่านช่องทางโฆษณา รวมทั้งโครงการต่างๆของพันธมิตรเรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์การรรับรู้

แต่แอคชั่นที่จะทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมจริงๆ ต้องอาศัยอีกยุทธศาสตร์หนึ่ง    คือยุทธศาสตร์การเรียนรู้

ตอกย้ำด้วย ยุทธศาสตร์การเรียนรู้

ซึ่งในยุทธศาสตร์นี้  มีมูลนิธิต่างๆของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรย์ ที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้วเช่นมูลนิธิปิดทองหลังพระมูลนิธิยุวสถิรคุณ   ที่ได้ทำกับโรงเรียน ชุมชน เกษตรกร  แต่ที่ผ่านมาจะมีลักษณะของการต่างคนต่างทำ  แต่ตอนนี้มารวมเป็นเนื้อหาเดียวกัน

อีกแนวทางหนึ่งที่วางแผนไว้ ปี คือในปี 2559 จะมีอีเว้นท์ใหญ่   บุกถึงหมู่บ้าน บุกถึงโรงเรียน เช่นภายใต้โครงการ “อย่าให้ใครว่าครูไทย ชอบเป็นหนี้”

“ เพราะครูไทยเป็นหนี้เยอะมาก ดังนี้น เราจะไปทำอีเว้นท์เล็กๆ เพื่อเข้าไปสอนเขาใน 2 เรื่องคือ 1.  การป้องกัน โดยเน้นในเรื่องวินัยทางการเงิน  ทำอย่างไรไม่ให้ใช้เงินเกินตัว  มีการสอนทำสมุดบัญชีครัวเรือนที่ทำได้ง่าย เรื่องที่2. คือการแก้ไข ให้มีความเพียรพยายาม ในการทำมาหากิน และตั้งอกตั้งใจเพื่อให้ได้รับความก้าวหน้า เพื่อให้มีรายได้ที่ดี  รวมทั้งการมีอาชีพเสริม “

วิทวัสกล่าว เพิ่มเติมว่า

ช่วงแรกแรกที่ทำการประชาสัมพันธ์ออกไป น้ำหนักของแคมเปญจะเท่าๆกันทั้ง 4 เรื่อง แต่ต่อไปจะให้ความสำคัญในเรื่องของการเงินมากขึ้นเพราะเป็นหัวใจของจุดเริ่มต้นในหลายๆเรื่อง

ในเดือนพฤศจิกายนจะมีโฆษณาออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ “อย่าให้ใครว่าไทยฟุ้งเฟ้อ”   เป็นภาพยนตร์โฆษณา อีก 3 เรื่องที่เน้น การมีวินัยทางด้านการเงิน

“  เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ที่ต้องการคือการสร้างพฤติกรรมลดหนี้ให้ได้ อาจจะมีการประกวดกันว่าจังหวัดไหน หนี้สินครัวเรือนต่ำที่สุด ใครชนะจะ มีรางวัลเงินก้อนใหญ่ไปพัฒนาจังหวัด”      วิสทวัสกล่าวย้ำ เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกัน เชื่อว่าอีกไม่นานเราจะเป็นคนไทยที่น่าภาคภูมิใจอย่างแน่นอน

Marketeer ฉบับเดือนตุลาค 2558

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer