น้อยครั้งที่ World Marketeer จะมาเป็นคู่ ยกเว้นคนคู่นั้นคือคนดังผู้อิทธิพลทางการตลาด สร้างปรากฏการณ์หรือมีนัยสำคัญต่อเทรนด์ เช่นเดียวกับ Adam Neumann กับ Miguel McKelvey ที่จับคู่สร้าง WeWork มาตั้งตั้งแต่ปี 2010 จนทำให้ปัจจุบัน บริษัทจัดสรรและบริหารจัดการพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working Space) แห่งนี้คือองค์กรแถวหน้าของระบบเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) ซึ่ง “ดัง มั่งคั่ง และถูกจับตามอง” มากที่สุดในโลก
จุดร่วมเบื้องต้นของ Neumann กับ McKelvey ก่อนได้มาทำงานกันคือโตมาในครอบครัวที่ขาดพ่อและความสนุกสนานนอกห้องเรียน
โดยคนแรกพื้นเพเป็นชาวอิสราเอล โตมากับน้องสาว เคยตามมาแม่ที่เป็นหมอมาใช้ชีวิตวัยเด็ก 2 ปีในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโอกาสให้ได้เรียนภาษาอังกฤษเบื้องต้น จากนั้นกลับไปแผ่นดินเดิน อาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนแถบฉนวนกาซ่ากับเพื่อนวัยเดียวกัน และโตมากับการเป็นหัวโจกในเรื่องการเล่นกิจกรรมกลางแจ้ง เรียนจบเข้ารับข้าราชการทหาร 5 ปี

ส่วน McKelvey เป็นชาวอเมริกัน โตมาในกลุ่ม “คุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยว” ของเมือง Eugine รัฐ Oregon โดยแม้ฐานะครอบครัวไม่สู้ดีนัก จนต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล แต่การอยู่กับธรรมชาติทำให้เขามีความสุขได้ตามประสาเด็ก
เมื่อเข้าสู่วัยเรียนเขาคือเด็กหัวดีที่เบื่อตำรา และสนุกไปกับการชุบชีวิตใหม่ให้ตึกร้างที่สามารถแปรเป็นรายได้เล็กๆน้อยๆ เมื่อถึงระดับอุดมศึกษาเขาตัดสินใจเรียนต่อด้านสถาปัตยกรรม ตามคำแนะนำของอาจารย์สอนศิลปะที่เห็นว่ารูปปั้นของเขาเอียงไปทางสถาปัตยกรรมมากกว่าประติมากรรม
หลังปลดประจำการณ์จากกองทัพ Neumann เดินทางมายัง “เมืองลุงแซม” อีกครั้งเพื่อทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวให้ Adi น้องสาวดีกรี Miss Teen Israel ผู้เข้ามาตามหาฝันการเป็นนางแบบ ขณะที่ตัวเขาเองก็ลงเรียนด้านธุรกิจ และลงทุนในกิจการขายของใช้เด็กอ่อนผ่านเว็บไซต์
ส่วน McKelvey ก็ประกอบอาชีพสถาปนิกตามที่เรียนมา แล้วทั้งสองก็ได้มาพบกันในงานเลี้ยง โดย Neumann ขอ McKelvey มาออกแบบสำนักงานให้ ซึ่งคนหลังเสนอให้คนแรกมาแบ่งเช่าที่ทำงานในแถบ Dumbo เขต Brooklyn ของนคร New York เมื่อปี 2008
แต่ที่สุดทั้งสองกลับลงเอยด้วยการทำธุรกิจด้วยกัน หลัง Neumann เสนอความคิดว่าน่าจะหาอาคารว่างสักหลัง ติดต่อกับเจ้าของอาคารว่าขอเช่าทั้งชั้น เพื่อมาแบ่งเป็นสำนักงาน 15 แห่ง เก็บเช่าที่ Office ละ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 32,000 บาท) ต่อเดือน โดยจากเงินที่เข้ามา 15,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 480,000 บาท) ต่อเดือน ครึ่งหนึ่งจ่ายให้เจ้าของอาคาร อีก 2,500 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 80,000 บาท) ต่อเดือนคือเงินเดือนพนักงานต้อนรับ ส่วนกำไรที่เหลือทั้งหมดพวกเขาจะได้ไป

ผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ซึ่งถูกต่อยอดขึ้นสู่บริษัทชื่อว่า Green Desk ตามแนวคิดอุปกรณ์ในสำนักงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคือ Joshua Guttmann เจ้าของอาคารในเขต Brooklyn นั่นเอง
แต่บริษัท “โต๊ะเขียว” เดินต่อไปได้อีก 2 ปี Guttmann ก็ขอซื้อกิจการมาบริหารเองทั้งหมด โดยเงินสด 300,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 9.6 ล้านบาท) ที่ได้มา Neumann กับ McKelvey นำไปก่อร่างสร้าง Wework ซึ่งนอกจากอุปกรณ์สำนักงานครบครันแล้ว Co-working Space และ Design ที่สอดคล้องกับทำเลที่ตั้งแล้วแบรนด์นี้ ยังติดต่อผู้บริหารจากองค์กรดังมาให้ความรู้ทางธุรกิจให้บรรดา Start-Up กลุ่มลูกค้าหลักทุกเดือน และสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันให้การสานสัมพันธ์เพื่อให้การติดต่อสื่อสารของคนในอาคารแต่ละแห่งขยายจาก On Line มาสู่ Off Line จัดหาผู้จัดการชุมชน พร้อมทั้งห้องสันทนาการที่เต็มไปด้วย อุปกรณ์พักผ่อนโดนใจคน Gen Y เช่นเกมตู้นยอดฮิตและมี Happy Time ช่วงเย็นหลังเลิกงานที่ดื่มเบียร์ฟรีได้ไม่อั้นอีกด้วย
ปี 2015 WeWork ซึ่ง Neumann รับหน้าที่เป็นประธานบริหาร และ McKelvey เจ้าของตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ ขยายตัวต่อเนื่องในทุกด้าน มีพื้นที่ทำงานร่วมอยู่กว่า 50 แห่ง ในสหรัฐฯ ยุโรป และอิสราเอล จนบริษัทใหญ่เช่น Pepsi Co เริ่มมาขอใช้บริการ
WeWork
1 ใน 50 องค์กรสุดสร้างสรรค์
ขณะที่นิตยสาร Fast Company ยกให้เป็น 1 ใน 50 บริษัทเปี่ยมความสร้างสรรค์ที่สุดในโลก ส่วนโครงการในอนาคต McKelvey อยากตอบแทนสังคมด้วยการเปิดพื้นที่ร่วมแบบไม่แสวงหากำไรให้คนด้อยโอกาสในประเทศกำลังพัฒนาหรือยากจน อย่าง Haiti ได้ใช้
ขณะที่ Neumann ฝันไกล เล็งเปิด Co-working Space บนดาวอังคาร หลังทราบว่า Elon Musk นักธุรกิจด้านเทคโนโลยีชื่อดังผู้ก่อตั้งค่ายรถยนต์ Tesla และบริษัทผู้ผลิตจรวด SpaceX เตรียมพามนุษย์ไปตั้งนิคมที่ “ดาวแดง”
ที่มา : forbes.com,inc.com,techcrunch.com
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
