อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน เราจึงไม่ควรงดอาหารเช้า แต่ปัจจุบันการใช้ชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนไป เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ส่งผลให้การตื่นเช้ามาทำอาหารอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ดังนั้น เมนูที่รับประทานง่ายและสะดวกอย่างคอร์นเฟลกจึงช่วยตอบโจทย์ได้มากกว่า
คอร์นเฟลกจึงได้กลายเป็นเมนูอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมในวัยเด็กไปจนถึงวัยทำงาน เนื่องจากเมนูนี้ง่ายและสะดวกเป็นอย่างมาก เพียงแค่เทนมและคอร์นเฟลกก็สามารถรับประทานได้เลย หรือจะเติมทอปปิ้งต่าง ๆ อย่างถั่วหรือผลไม้แห้งเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
แล้วรู้หรือไม่ว่า คอร์นเฟลก อาหารเช้ายอดนิยมนี้ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1894 โดย John Harvey Kellogg (จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อก) และ Will Kellogg (วิล เคลล็อก) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Kellogg’s (เคลล็อกส์) แบรนด์ต้นกำเนิดคอร์นเฟลกยอดนิยม
John Harvey Kellogg เป็นแพทย์ชาวอเมริกันและผู้บุกเบิกด้านอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีการพัฒนาอาหารแห้งคอร์นเฟลกอาหารเช้า มีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างอุตสาหกรรมธัญพืชเกล็ด ในตอนแรกที่เขาเริ่มคิดค้นคอร์นเฟลกขึ้นมาเขาเป็นหมอในโรงพยาบาลแบทเทิลครีก รัฐมิชิแกน
เขาต้องการทำอาหารมังสวิรัติจากธัญพืชเพื่อให้คนไข้รับประทานได้ง่ายและมีคุณประโยชน์ครบถ้วน เขาจึงได้นำธัญพืชหลากหลายชนิดมาทดลอง จนวันหนึ่ง Will Kellogg น้องชายของเขาได้ลืมข้าวสาลีที่ต้มเสร็จแล้วทิ้งเอาไว้จนข้าวสาลีแห้งเหี่ยว ด้วยความเสียดาย เขาจึงได้นำข้าวสาลีมาบดทำเป็นแผ่นแป้ง แต่ปรากฏว่าข้าวสาลีนี้ได้กลายเป็นเม็ดข้าวที่รูปร่างคล้ายเกล็ดแทน
John Harvey Kellogg จึงลองนำข้าวสาลีนี้มาคั่วแล้วนำไปให้คนไข้ลองรับประทาน และแล้วข้าวสาลีนี้ก็ได้เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มคนไข้เป็นอย่างมาก จนเขาได้นำธัญพืชอื่น ๆ มาทดลองจนได้ออกมาเป็นคอร์นเฟลกอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
มารู้จักกับ John Harvey Kellogg และ Will Kellogg สองพี่น้องผู้ก่อตั้งแบรนด์ Kellogg’s
John Harvey Kellogg และ Will Kellogg เป็นสองพี่น้องจากครอบครัว Seventh-day Adventist ในเมือง Battle Creek รัฐมิชิแกน ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์คอร์นเฟลกยักษ์ใหญ่ โดย John Harvey Kellogg เป็นหมอที่เรียนจบจากวิทยาลัยการแพทย์โรงพยาบาลเบลล์วิว นิวยอร์ก ในขณะที่ Will Kellogg เป็นนักอุตสาหกรรมและผู้ใจบุญชาวอเมริกันผู้ก่อตั้งแบรนด์ Kellogg เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ธัญพืชเป็นอาหารเช้า
หลังจากที่พวกเขาคิดค้นและผลิตคอร์นเฟลกขึ้นมา ในตอนแรกพวกเขาได้ขายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ป่วยเก่าทางไปรษณีย์เป็นหลัก หลังจากนั้นจึงเริ่มโฆษณาในหนังสือพิมพ์และบนป้ายโฆษณา ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นที่รู้จักและโด่งดัง แต่ในขณะนั้นคู่แข่งคนอื่น ๆ ก็ได้บุกเข้ามาในตลาดนี้เช่นกัน อย่างบริษัท CW Post ที่ได้ทำ Grape Nuts โดยใช้บิสกิต Granola เป็นหลัก หรือบริษัท Postum Cereal ที่ได้ทำเครื่องดื่มที่มีธัญพืชเรียกว่า Postum ด้วยเหตุนี้การแข่งขันในตลาดจึงรุนแรงขึ้น มีบริษัทธัญพืชมากกว่าสี่สิบบริษัทเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นทศวรรษ 1900
ทว่า John Harvey Kellogg ไม่ได้สนใจในการทำธุรกิจจริงจัง แต่สนใจในการปฏิรูปนิสัยการกินของชาวอเมริกันมากกว่า ในขณะที่ Will Kellogg นั้นชื่นชอบการทำธุรกิจ เมื่อปณิธานของทั้งคู่สวนทางกัน Will Kellogg จึงตัดสินซื้อสิทธิ์ในการผลิตคอร์นเฟลก
และในปี 1906 Will Kellogg ก็ได้ก่อตั้งบริษัท Battle Creek Toasted Corn Flake Company เพื่อทำการโฆษณาและทำแผนการตลาดอย่างจริงจัง ต่อมาในปี 1908 เขาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kellogg Food Company ชื่อที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน
เรียกได้ว่า Will Kellogg ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดผลิตภัณฑ์คอร์นเฟลก เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ตอบสนองความต้องการอาหารเช้าที่ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัญหาที่ชาวอเมริกันต้องเผชิญนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งในขณะนั้นผู้คนส่วนใหญ่ทำงานในโรงงานและมีเวลารับประทานอาหารน้อยลง
เก็บตกเรื่องราวการทะเลาะกันเรื่องแบรนด์ Kellogg’s ของสองพี่น้อง
หลังจากที่ Will Kellogg ตัดสินใจซื้อสิทธิ์ในการผลิตซีเรียลจาก John Harvey Kellogg เพื่อตั้งเป็นบริษัทและมีการโปรโมตที่เฉพาะเจาะจง John Harvey Kellogg ก็ได้เริ่มทำคอร์นเฟลกของตัวเองและเรียกว่า Kellogg เช่นกัน
ซึ่งในขณะนั้นรสชาติคอร์นเฟลกของสองพี่น้องมีรสชาติไม่เหมือนกันอีกต่อไป ประกอบกับ Will Kellogg กำลังลงทุนโฆษณาหลายล้านดอลลาร์ต่อปี เขาจึงรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ชื่อ Kellogg ของ John Harvey Kellogg ไม่อร่อยเท่าผลิตภัณฑ์ของเขา และอาจส่งผลเสียต่อบริษัทได้
เขาจึงยื่นฟ้องต่อศาล ทำให้ทั้งสองพี่น้องมีความขัดแย้งกัน คดีนี้ดำเนินไปเกือบทศวรรษ ไปจนถึงศาลฎีกาแห่งรัฐมิชิแกน คำถามพื้นฐานคือ “ใครคือ Kellogg ตัวจริง ใครมีสิทธิ์ใช้ชื่อ Kellogg บนกล่องคอร์นเฟลก” ซึ่ง Will Kellogg ได้กล่าวว่า “ทุกคนที่ได้ยินชื่อ Kellogg ก็นึกถึงผลิตภัณฑ์ของเขากันทั้งนั้น” เพราะเขาได้ลงทุนทำการโฆษณามาตลอดนั่นเอง
โดยผู้พิพากษาก็เห็นด้วยกับ Will Kellogg เขาจึงเป็นฝ่ายชนะคดีและมีสิทธิ์ใช้ชื่อสกุล Kellogg เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียว ส่วน John Harvey Kellogg ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมด และเขาทำได้เพียงเขียนชื่อของเขาเป็นตัวอักษรเล็ก ๆ ที่ด้านล่างของกล่องสำหรับคอร์นเฟลกใด ๆ ก็ตามที่เขาสร้างขึ้น
Kellogg’s ตำนานแบรนด์คอร์นเฟลกที่ครองใจคนทั่วโลก
Kellogg’s เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารข้ามชาติ สัญชาติอเมริกันที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองแบตเทิลครีก รัฐมิชิแกน โดยทางแบรนด์มีการผลิตธัญพืช แครกเกอร์ และขนมอบต่าง ๆ อย่าง Corn Flakes, Rice Krispies, Frosted Flakes, Pringles, Eggo และ Cheez- It ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Kellogg’s ผลิตและจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ Kellogg’s ยังได้รับพระราชหมายสำคัญจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี 2022 อีกด้วย
ด้วยความเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ รายได้ของ Kellogg’s จึงเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก อย่างในปี 2018 Kellogg’s มีรายได้ 13,547 พันล้านดอลลาร์ รายได้สุทธิ 1,336 พันล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์รวม 17,780 พันล้านดอลลาร์
ในปี 2019 Kellogg’s มีรายได้ 13,578 พันล้านดอลลาร์ รายได้สุทธิ 960 พันล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์รวม 17,564 พันล้านดอลลาร์
ในปี 2020 Kellogg’s มีรายได้ 13,770 พันล้านดอลลาร์ รายได้สุทธิ 1,251 พันล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์รวม 17,996 พันล้านดอลลาร์
และในปี 2021 Kellogg’s มีรายได้ 14,181 พันล้านดอลลาร์ รายได้สุทธิ 1,488 พันล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์รวม 18,178 พันล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่าในแต่ละปีมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
แม้ว่าในปัจจุบัน Kellogg’s จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ในอดีต Kellogg’s ก็มีเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน อย่างในปี 1983 ที่ส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐอเมริกาของ Kellogg’s แตะระดับต่ำที่ 36.7% วอลล์สตรีทจึงเรียก Kellogg’s ว่าบริษัทที่ดีที่ผ่านช่วงรุ่งโรจน์มาแล้ว บวกกับตลาดธัญพืชก็ถูกมองว่าเป็นตลาดที่เติบโตเต็มที่แล้วเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ Kellogg’s จึงทำการตลาดรูปแบบใหม่ จากเดิมที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กเป็นหลัก กลับเปลี่ยนเป็นกลุ่มคนเบบี้บูมเมอร์และผู้คนที่มีอายุระหว่าง 25 – 49 ปีจำนวนมากกว่า 80 ล้านคนแทน โดยแคมเปญนี้ได้เน้นถึงความสะดวกและคุณค่าทางโภชนาการของธัญพืช Kellogg’s ซึ่งแคมเปญประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะ Kellogg’s สามารถชักชวนกลุ่มคนกลุ่มนี้ให้รับประทานคอร์นเฟลกได้มากกว่าคนในวัยเดียวกันที่รับประทานเมื่อห้าปีก่อนถึง 26%
ด้วยความเอาใจใส่ผู้บริโภคและการพัฒนาแบรนด์อยู่เสมอ ทำให้ในปี 2012 Kellogg’s กลายเป็นบริษัทอาหารขบเคี้ยวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจาก PepsiCo
ปัจจุบัน Kellogg’s ได้ดำเนินงานในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และตลอดระยะเวลาที่ก่อตั้ง Kellogg’s ถือได้ว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมธัญพืชที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Kellogg’s ยังมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าที่จะจัดหาพลังงานหมุนเวียน 100% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ยิ่งไปกว่านั้น Kellogg’s ยังสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านการกุศลมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แบรนด์จะเน้นเรื่องการบรรเทาความหิวโหย การให้ความรู้ด้านโภชนาการ และการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น รวมไปถึงสนับสนุนการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ อีกด้วย
มาสคอตอันเป็นเอกลักษณ์ของ Kellogg’s ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
อย่างที่เป็นที่รู้กันว่า Kellogg’s ขึ้นชื่อเรื่องมาสคอต เพราะแบรนด์สามารถดีไซน์ออกมาได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น Tony the Tiger, Snap, Crackle และ Pop, Toucan Sam และ Dig’em Frog ซึ่งมาสคอตเหล่านี้ได้กลายเป็นไอคอนของวัฒนธรรมป๊อปและเป็นที่รู้จักของคนทุกวัยในทันที
แต่มีมาสคอตหลักของ Kellogg’s ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมในช่วงตรุษจีนของปี 2017 นั่นก็คือ Cornelius เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ผลิตภัณฑ์ Cornelius จึงได้เปลี่ยนโฉมแบบตะวันออกใส่ชุดจีน วางจำหน่ายเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น โดยมาสคอตชุดนี้เป็นที่นิยมในวงกว้าง ผู้คนต่างก็ต้องการเก็บสะสม ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่ประสบความสำเร็จของ Kellogg’s
บทสรุป
Kellogg’s เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงที่ทิ้งร่องรอยไว้อย่างไม่มีวันลบเลือนให้กับอุตสาหกรรมคอร์นเฟลกอาหารเช้า ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าศตวรรษ Kellogg’s จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพและนวัตกรรม
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในฐานะผู้ผลิตคอร์นเฟลก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่คนนับล้านทั่วโลกชื่นชอบ บวกกับความมุ่งมั่นของบริษัทในการผลิตคอร์นเฟลกที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้ Kellogg’s มีฐานลูกค้าที่ภักดีและเป็นที่นิยมในครัวเรือน Kellogg’s จึงเป็นบริษัทยอดนิยมที่ได้ปฏิวัติประสบการณ์อาหารเช้ามาหลายชั่วอายุคน
ที่มา:
https://en.wikipedia.org/wiki/Kellogg%27s
Why were Kellogg’s Corn Flakes invented and was it to stop masturbation?
https://www.historytoday.com/archive/battle-cornflakes
https://www.kelloggs.co.uk/en_GB/press-release/kelloggs-cock-a-doodle-do.html
https://www.historyhit.com/john-harvey-kellogg/
https://www.britannica.com/biography/John-Harvey-Kellogg
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ