เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวรถยนต์ตระกูล EQ 2 รุ่นรวด EQE 350 SUV/AMG EQE 53 เผยบิสิเนสโมเดลใหม่ สะเทือนตลาดรถยนต์ลักชัวรีแบรนด์ในไทย คุมราคารถเท่ากันทุกเจ้า ผ่านสต๊อกรถคลังกลาง เทิร์นดีลเลอร์จากพ่อค้า สู่รีเทล พาร์ตเนอร์ เริ่มไตรมาส 1/2567
รถยนต์ลักชัวรีตระกูลเมอร์เซเดส-อีคิว EQ (ไฟฟ้า 100%) ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ทำตลาดอยู่ในไทย ตามเป้าให้มีสัดส่วนรถยนต์ EQ ถึง 50% ภายใน 5 ปีหลังจากนี้
เปิดตัวแล้วมีอยู่ 2 รุ่น
EQS 500 4MATIC AMG Premium (ประกอบในไทย 100%)
EQB 250 AMG Line (นำเข้า CBU)
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วันนี้ (26 ก.ย. 66) บริษัทเปิดตัวรถยนต์ตระกูล EQ เพิ่ม 2 รุ่น EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic ซีดานเอสยูวี ราคาเริ่มต้น 5.65 ลบ.
ขุมกำลัง แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน 89 kWh วิ่งไกลสุด 558 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ชาร์จเร็ว (DC Charge) สูงสุด 170 kWh จาก 10-80% ใน 31 นาที และชาร์จธรรมดา (AC Charge) สูงสุด 11 kWh จาก 0-100% ใน 9.30 ชม.
ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive ไฟฟ้า 100% จากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ แรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ ซีดานสมรรถนะสูง ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ครั้งแรกในไทย ราคาเริ่มต้น 5.95 ลบ.
ขุมกำลัง แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-Ion) 90.6 kWh วิ่งไกลสุด 526 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ชาร์จเร็ว (DC Charge) สูงสุด 170 kWh จาก 0-80% ใน 32 นาที และชาร์จธรรมดา สูงสุด 22 kWh จาก 0-100% ใน 4.45 ชม.
ขับเคลื่อน AMG Performance 4MATIC+ แบบ all-wheel drive ปรับการส่งกำลังของมอเตอร์คู่ได้ตามต้องการ กำลังสูงสุด 625 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้ง 2 รุ่นเปิดตัวใหม่ นำเข้า CBU พร้อมให้จองตั้งแต่วันนี้ และเริ่มส่งมอบรถได้ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า
ภายในงานบริษัทยังได้เปิดตัวบิสิเนสใหม่ Retail of the Future ชูโมเดล D2C สร้างความโปร่งใสของราคาและข้อเสนอจากดีลเลอร์แก่ผู้บริโภค ที่ต้องเท่าเทียมกันทุกแห่ง ภายใต้มาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
ส่วนของดีลเลอร์ก็จะได้ผลประโยชน์ตรงที่ไม่ต้องแบกรับภาระด้านการจัดการคลังสินค้าและสต๊อกรถยนต์ เพราะรถจะถูกนำส่งมาจากคลังสินค้ากลางของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย และดีลเลอร์จะได้ค่าคอมมิชชั่น รวมถึงโบนัสตามยอดขายที่ทำได้เช่นเดิม
โดยดีลเลอร์จะเปลี่ยนจากพ่อค้าคนกลางมาเป็นรีเทลพาร์ตเนอร์ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในขั้นตอนเซอร์วิสลูกค้า ที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งเสริมเครือข่ายการค้าปลีกของแบรนด์ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ
ส่วนการทำงานเพื่อให้บิสิเนสโมเดลดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง มร. มาร์ทิน กล่าวว่า Retail of the Future เป็นโมเดลที่บริษัทแม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดมาแล้วในหลายภูมิภาค อาทิ เยอรมนี (บริษัทแม่), สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, อินเดีย, แอฟริกาใต้, มาเลเซีย
ตลอดจนการที่โมเดลนี้เกิดประโยชน์กับทั้ง ผู้บริโภค ดีลเลอร์ และบริษัทซึ่งคาดว่าจะมีการรับรู้ยอดขายโดยตรงเพิ่มขึ้น เชื่อว่าหลังจากเริ่มทำความเข้าใจและปรับรูปแบบการทำงานกับดีลเลอร์ให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน อาทิ ราคาขาย แคมเปญการตลาด และปรับการทำงานที่จะจัดระเบียบข้อมูลผ่านระบบไอทีทั้งหมด ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี 2566 ก่อนเริ่มใช้บิสิเนสโมเดลนี้ได้อย่างราบรื่นตั้งแต่ไตรมาส 1/2567
อนึ่ง ปัจจุบันบริษัทมีดีลเลอร์และศูนย์บริการหลังการขายทั่วไทย กว่า 30 แห่ง ตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจา และเปลี่ยนถ่ายการดำเนินงานตามแผน Retail of the Future
น่าสนใจว่าโมเดลดังกล่าวจากแบรนด์ระดับทอปรายนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ลักชัวรีแบรนด์ในไทยหลังจากนี้อย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ