หนังแนววิทยาศาสตร์ (Sci-Fi) และสัตว์ประหลาดถล่มโลก คือโปรเจกต์ในฝันของผู้กำกับหนังแทบทุกคน เพราะได้สานฝันวัยเด็กกับการทำหนังที่เคยสร้างแรงบันดาลใจ และเปิดโอกาสให้สร้างโลกในจินตนาการให้เป็นจริงขึ้นมา โดยที่ค่ายหนังมีงบก้อนใหญ่หนุนหลัง
ทว่าจากงบก้อนใหญ่นี่เองทำให้ผู้กำกับหนังต้องใช้เวลาหลายปีไล่ตามฝันและสร้างชื่อเพื่อให้ได้ไปกำกับหนังดังฟอร์มใหญ่ ขณะที่ฝ่ายค่ายหนังก็คงไม่ปล่อยให้หนังทุนสร้างมหาศาลไปอยู่ในมือของกำกับโนเนมจนฉายแล้วขาดทุนย่อยยับ
Gareth Edwards
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้กำกับบางคนที่คว้าโปรเจกต์ใหญ่ ๆได้อยู่เสมอ และพาหนังทำเงินแซงหน้าทุนสร้างไปไกลจนค่ายหนังยิ้มแก้มปริ โดย Gareth Edwards คือหนึ่งในผู้กำกับกลุ่มนี้
2 จาก 4 เรื่องที่ Gareth Edwards ทำมา คือ Godzilla และ Star Wars ที่คอหนังทั่วโลกรู้จักดี ซึ่งใช้ทุนสร้างรวมกัน 425 (ราว 15,600 ล้านบาท) แต่เขาพาหนังลาโรงพร้อมตัวเลขรายได้รวมเกือบ 1,600 ล้านดอลลาร์ (ราว 58,800 ล้านบาท)
นี่ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจและน่าอิจฉาของชายผู้มี Star Wars เป็นแรงบันดาลใจการเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และเริ่มจากหนังอินดี้ทุนต่ำที่เขาควบงาน CG กับตัดต่อเองด้วย ผ่านคอมพ์ตัวเดียวในห้องพักเมื่อ 13 ปีก่อน
ความน่าสนใจของ Gareth Edwards ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในหนังเรื่องล่าสุดเขาท้าทายตัวเองด้วยการทำหนัง Sci-Fi ฟอร์มใหญ่แต่ใช้ทุนต่ำ ขนาดที่ทำหนังฟอร์มใหญ่ได้สามเรื่อง พร้อมกันนี้ยังมีประเด็นที่ทำให้ชาวไทยได้ภาคภูมิใจ
Gareth Edwards เกิดในเมือง Nuneaton ทางภาคกลางของอังกฤษ เมื่อ 13 กรกฎาคม 1975 โดยเขาก็เหมือนกับเด็กยุค 80 ทุกคนที่ชื่นชอบและสนุกสนานกับหนัง Star Wars สามภาคแรกที่ออกมา
แต่เขาไม่หยุดแค่นั้น เพราะ Star Wars คือหนังที่ทำให้เขาอยากเป็นผู้กำกับ และหวังไว้ลึก ๆ ว่าจะได้กำกับหนังมหากาพย์อวกาศเรื่องนี้สักภาคหนึ่ง
Gareth Edwards เริ่มตามฝันด้วยการเข้าเรียนสถาบันภาพยนตร์ในอังกฤษ หลังเรียนจบในปี 1996 เขาก็ลุยทำงานเบื้องหลังในฐานะมือ Computer graphic (CG) ของหนังและซีรีส์สารคดี BBC โดยแม้ได้รางวัลมาพอสมควรแต่ฝันในการเป็นผู้กำกับ Star Wars ก็ยังติดอยู่ในใจ
Gareth Edwards นำหนังสั้นแนวสัตว์ประหลาด เล่าเรื่องผ่านวิดีโอเก่าที่ถูกค้นพบคล้ายหนัง Blair Witch Project และตัวละครน้อย ที่เคยทำไว้ช่วงเรียนจบมาปัดฝุ่น จากนั้นก็ขัดเกลาบทใหม่เพื่อไม่ให้คล้ายกับ Cloverfield
แต่ก็ยังติดเรื่องเงินทุนในการถ่ายทำ เขาจึงนำโปรเจกต์นี้เข้าประกวดจนชนะและได้ทุนสร้างเบื้องต้นมา จากนั้นก็นำไปเสนอกับค่ายหนัง Vertigo ของอังกฤษ และได้ทุนสร้างเพิ่มเป็น 500,000 ดอลลาร์ (ราว 18 ล้านบาท)
หนังเรื่องแรกของ Gareth Edwards ใช้ชื่อว่า Monsters โดยแม้ที่ครึ่งล้านดอลลาร์จะมากสำหรับคนทั่วไป แต่กับคนทำหนังถือว่าน้อยมาก ดังนั้น Gareth Edwards จึงต้องประหยัดสุด ๆ และทำเอง (Do It Yourself-DIY) งานกราฟิกและตัดต่อเองด้วยนอกจากการกำกับ
Monsters ออกฉายในปี 2010 โดยนอกจากเป็นหนังอินดี้ที่ได้รับคำชมของปีนั้นแล้ว ตัวหนังยังทำเงินได้ 4.24 ล้านดอลลาร์ (ราว 155 ล้านบาท) ทำกำไรให้ค่ายหนังอย่างมาก
ปี 2014 Gareth Edwards ก้าวข้ามขั้นจากผู้กำกับหนังอินดี้ไปเป็นผู้กำกับหนังฟอร์มใหญ่กับ Godzilla หนังสัตว์ประหลาดญี่ปุ่นเรื่องดัง ที่ค่ายหนังอเมริกันนำมาทำใหม่อีกครั้ง
Godzilla ใช้ทุนสร้างไป 160 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,880 ล้านบาท) แต่ลาโรงไปด้วยตัวเลขรายได้ 529 ล้านดอลลาร์ (ราว 19,400 ล้านบาท) และให้หลังจากเรื่องนี้อีก 2 ปี Gareth Edwards ก็ได้สานฝันวัยเด็ก โดยเขาได้กำกับ Rogue One : Star Wars Story
ภาคแยกของ Star Wars ในมือแฟนตัวยงชาวอังกฤษภายใต้ทุนสร้าง 265 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,700 ล้านบาท) ที่เล่าเรื่องทีมต่อต้านที่ไปหาของสำคัญจากเส้นเรื่องหลักประสบความสำเร็จอย่างมาก
นอกจากหนังประสบความสำเร็จอย่างมาก ยืนยันจากตัวเลขรายได้ 1,058 ล้านดอลลาร์ (ราว 38,800 ล้านบาท) แล้ว ยังจุดประกายให้ Disney สร้างภาคแยกจากเรื่องราวและตัวละครสำคัญออกมาอีกด้วย
หลัง Rogue One : Star Wars Story ลาโรง Gareth Edwards ก็เก็บตัวเงียบและมองหาโปรเจกต์ใหม่ พร้อมท้าทายตัวเองด้วยการสร้างหนังจากบทที่เขียนขึ้นมาใหม่ และเป็นหนังฟอร์มใหญ่แต่ทุนสร้างน้อย
ที่สุด Gareth Edwards ก็ไปเตะตาบทหนัง Sci-Fi เรื่อง True Love ที่เล่าเรื่องระหว่างคนกับ AI หลังสงครามโลกครั้งใหม่เข้า แม้เป็นแนวเรื่องที่คอหนังดูจนซ้ำ แต่เขาเห็นว่าหากเอาไปปรับ มีฉากถ่ายทำแปลกใหม่และ CG ดี ๆ ก็น่าจะไปได้ และยังถือเป็นการท้าทายตัวเองกับทุนสร้างที่จำกัดอีกด้วย
การท้าทายตัวเองครั้งใหม่ของ Gareth Edwards เริ่มจากการเดินทางมาดูสถานที่ถ่ายทำในเอเชียหลายประเทศ เพื่อให้ได้สถานที่ถ่ายทำแปลกตาตรงตามต้องการ จนที่สุดฟันธงว่า 80% ของหนังจะมาทำถ่ายในไทย
เช่น ที่สะพานไม้สังขละบุรี ปราสาทสัจธรรม และสถานีรถไฟกลางบางซื่อ
หลังถ่ายทำเสร็จและตัดต่อเสร็จ Gareth Edwards ก็เปลี่ยนชื่อหนังทุนสร้าง 80 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,000 ล้านบาท) เรื่องนี้เป็น The Creator โดยตัวอย่างและโปสเตอร์แรกเรียกความสนใจจากคอหนังได้พอสมควร ด้วยภาพหุ่นยนต์ในทุ่งนา
และเมื่อตัวอย่างเต็มออกมาปีนี้ (2023) ก็ถูกจับตามองยิ่งขึ้นกับภาพการสู้กันระหว่างคนกับหุ่นยนต์ โดยที่ฉากหลังเป็นเอเชีย แต่ก็เพิ่มความอยากดูให้กับชาวไทยเพราะทึ่งกับฉากสะพานไม้สังขละบุรี ปราสาทสัจธรรม ย่านเยาวราช สามพันโบก ทุ่งนาตามชนบทและทะเลไทยไปอยู่ในหนัง Sci-Fi
ตามข้อมูลของกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศของไทย (TFO) ระบุว่า The Creator ถ่ายทำใน 16 จังหวัด ในทุกภาคของไทย และสร้างงานให้ชาวไทยกว่า 7,700 คน โดยที่หนังมาลงทุนในไทยเป็นเงิน 450 ล้านบาท
เสียงวิจารณ์เบื้องต้นเมื่อต้นกันยายน ส่วนใหญ่ออกมาในทางบวก โดยถ้าหนังทำเงินได้เกินทุนสร้างก็จะเป็นความสำเร็จต่อเนื่องของ Gareth Edward
และย้ำความเป็นเจ้าพ่อหนัง Sci-Fi ทุนต่ำแต่โกยเงิน ที่หนังฟอร์มใหญ่ทุนสร้างเฉลี่ย 300 ล้านดอลลาร์ (ราว 11,000 ล้านบาท) ของปีนี้ที่ลาโรงแบบขาดทุนต้องอาย
ขณะเดียวกันก็จะช่วยโปรโมตให้กองถ่ายหนังระดับโลกเรื่องอื่น ๆ มาถ่ายทำในไทยอีกด้วย เหมือนในอดีตที่หนังหลาย ๆ เรื่อง เช่น 007 ภาค The Man with The Golden Gun เมื่อปี 1974 ต่อด้วย 007 ภาค Tomorrow Never Die เมื่อปี 1997
และ The Beach เมื่อปี 2000 และ Extraction ภาคแรกในปี 2020 ทำไว้ รวมไปถึง The Creator ที่เริ่มเข้าฉายในไทยแล้ว และซีรีส์ Alien ที่กำลังอยู่ระหว่างถ่ายทำ/bbc, wikipedia, theguardian, variety, deadline
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ