ไม่ว่าผ่านมากี่ยุคกี่สมัย เรื่องของบริษัทขนาดเล็ก ผู้ก่อตั้งที่ฝันใหญ่และสู้ยิบตาจนที่สุดประสบความสำเร็จ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ๆ ได้เสมอ

ตีกรอบให้แคบลงมาอีกหน่อยเหลือแค่เกือบ 10 ปีมานี้ บริษัทขนาดเล็กที่กำลังตั้งต้นทำธุรกิจก็มีชื่อเรียกใหม่ว่า Start-up และ Start-up ก็ตั้งเป้าอยากเป็นบริษัทระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 35,000 ล้านบาท) หรือ Unicorn ให้ได้ คือแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการ

องค์ประกอบที่ Start-up ดัง ๆ มีร่วมกันคือ สามารถผลักดันไอเดียสู่ธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนและเขย่าบริษัทใหญ่ ๆ ให้ต้องปรับตัว เหมือนที่ Uber เขย่าตลาดการสัญจรไปมาผ่านการสร้างแพลตฟอร์มเรียกแท็กซี่ (Ride hailing)

และ WeWork เขย่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ผ่านการปล่อยเช่าและบริหารจัดการพื้นที่ทำงานร่วม Co-working space

แต่ขึ้นชื่อว่าการดำเนินธุรกิจย่อมเจอปัญหา ความท้าทาย และวิกฤตให้ต้องฝ่าฟัน เพื่อพิสูจน์ว่าจะสามารถยืนระยะต่อไปได้ในระยะยาว โดยสำหรับ WeWork แม้เคยเนื้อหอมในหมู่นักลงทุน และเป็นต้นแบบความสำเร็จของเหล่า Start-up แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นบทเรียนได้เช่นกัน

เพราะหลงทิศและติดหล่มปัญหามาพักใหญ่จนปีนี้ถึงคราวล้มละลาย  

Adam Neumann กับ Miguel McKelvey

WeWork ก่อตั้งเมื่อปี 2010 โดย Miguel McKelvey สถาปนิกหนุ่มชาวอเมริกัน กับ Adam Neumann ชาวอิสราเอลที่เข้ามาในสหรัฐฯ เพื่อเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้น้องสาวที่มาประกวดนางงาม และกำลังหาช่องทางทำธุรกิจ

บริษัทที่เปิดตลาด Co-working space ขึ้นนี้ เวิร์กตามที่ทั้งคู่ฝันไว้ ยืนยันจากมีลูกค้ามาใช้บริการมากมาย ไล่ตั้งแต่คนที่นั่งทำงาน Start-up รวมไปถึงบริษัทใหญ่อย่าง Pepsi และสื่อดังของอังกฤษอย่าง The Guardian

 WeWork ขยายจากสหรัฐฯ ไปยังอีกหลายประเทศทั่วโลก โดย ณ จุดสูงสุดในปี 2017 มูลค่าบริษัทเพิ่มมหาศาลเป็น 47,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) ทำให้ Softbank ค่ายโทรคมนาคมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยิ้มแก้มปริ

แน่นอนว่า WeWork ไม่หยุดแค่นี้ โดยการขยายสาขาเพิ่ม และ IPO คือเป้าหมายต่อไป แต่ก็มีเหตุให้เปลี่ยนแผน โดยเกิดกรณีอื้อฉาวจากการตกแต่งบัญชีและผลประโยชน์ทับซ้อนของ Adam Neumann ผู้ร่วมก่อตั้งที่ควบตำแหน่ง CEO ด้วย

วิกฤตดังกล่าวฉุดมูลค่าร่วงไปกว่า 1 ใน 4 Adam Neumann ถูกบีบให้ออก และต้องปลดพนักงานไป 1 ใน 3 ของทั้งบริษัท ขณะที่ Softbank ก็กุมขมับเพราะต้องสูญเงินก้อนใหญ่

Sandeep Matharani

จากนั้นก็ดูเหมือนว่า WeWork มีแต่ทรงกับทรุดและแทบจะไม่เวิร์กเหมือนชื่ออีกต่อไป โดยปี 2021 ได้ Sandeep Matharani มากู้สถานการณ์และพาทำ IPO ได้สำเร็จ แต่เวลาดังกล่าวตลาด Co-working space ยังถือว่าซบเซา จากการที่ผู้คนทั่วโลกทำงานอยู่บ้าน (Work from home)

และต่อมาก็พัฒนาสู่การทำงานแบบผสมผสานระหว่างเข้าบริษัทกับอยู่ที่บ้าน (Hybrid workspace) ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อตลาด Co-working space

ปี 2022 เรื่องราวจากความรุ่งเรืองจนกระทั่งต้องล้มลุกคลุกคลานของ WeWork ก็ถูกนำมาตีแผ่ผ่านซีรีส์ที่ตั้งชื่อสุดเจ็บแสบว่า WeCrashed อีก ซึ่งส่งผลต่อชื่อเสียงของ WeWork อย่างมาก

มาปี 2023 สถานการณ์ของ WeWork ก็ยังไม่ดีขึ้น และดูเหมือนว่าจะทรุดลงอีกจนน่าเป็นห่วง โดยครึ่งแรกของปีขาดทุนถึง 700 ล้านดอลลาร์ (ราว 24,800 ล้านบาท) พอล่วงมาถึงตุลาคมมีข่าวหนาหูว่า อาจต้องล้มละลาย

ที่สุดข่าวร้ายก็กลายเป็นจริง โดย WeWork ยื่นล้มละลายเพื่อการปรับโครงสร้างตามมาตรา 11 ในสหรัฐฯ ท่ามกลางมูลค่าบริษัทที่ร่วงลงไปอยู่เหลือแค่ไม่ถึง 10 ล้านดอลลาร์ (ราว 355 ล้านบาท) พร้อมภาวะหนี้ท่วม

ท่ามกลางการคาดกันว่าการล้มของ WeWork จะส่งผลต่อตลาด Co-working space และอสังหาฯ สหรัฐฯ พอสมควร โดยเฉพาะ 3 เมืองใหญ่อย่าง New York, Boston และ San Francisco ที่ WeWork มีออฟฟิศให้เช่าคิดเป็นสัดส่วน 42% ของทั้งหมด

ซึ่งในจำนวนนี้ New York จะเจ็บหนักสุด เพราะภาษีอสังหาฯ คิดเป็นรายได้ 21% จากภาษีทั้งเมือง

จากนี้ WeWork คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ ในการฟื้นตัว เพราะนอกจากเคลียร์หนี้ ปฏิรูปองค์กร และปรับทิศธุรกิจให้ชัดเจนแล้ว ยังต้องสู้กับพฤติกรรมคนวัยทำงานทั่วโลก ที่เปลี่ยนไปใช้ Hybrid workspace และหันไปเป็น Digital Nomad ทำงานไปเที่ยวไปในต่างประเทศมากขึ้น

รวมไปถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่เอื้ออำนวย ภาวะเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารอีกด้วย/cnn, bbc, theguardian


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer